“มาร์กซิยาล” ยังแบน!แมนยูส่ง “คาวานี่” เปิดซิง,เชลซีกู้ชัย! “แวร์เนอร์” พร้อมล่า

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยังไม่สามารถลงช่วยทีมได้เหตุติดโทษแบน ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ น่าจะได้ลงประเดิมสนามเกม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดถิ่นรับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ต้องการขุดฟอร์มเก่งโดยมี ติโม แวร์เนอร์ พร้อมล่าตาข่าย ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด   –   เชลซี
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แมนฯ ยูไนเต็ด :

    แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งใน 2 เกมที่ผ่านมาหลังบุกไปคว้าชัยเหนือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ในเกมลีกนัดล่าสุด ต่อด้วยการยัดเยียดความปราชัยให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคม

    ความพร้อมของปีศาจแดงในเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์ ออกมายืนยันว่า เอริก ไบยี่ ที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์โดนโรคเดี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อเล่นงาน ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ และจะพลาดช่วยทีมในเกมที่จะพบกับสิงโตน้ำเงินคราม, แอร์เบ ไลป์ซิก, อาร์เซน่อล, อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ และ เอฟเวอร์ตัน โดยคาดว่าเจ้าตัวจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมหลังช่วงพักเบรกทีมชาติที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของเวสต์บรอมวิช ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน

    เช่นเดียวกันกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้ลงสนามในเกมกับเปแอสเช หลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมทีมชาติ แต่อดีตนายใหญ่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ หวังว่า เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดี จะผ่านการทดสอบความฟิตกลับช่วยทีมได้ทันเวลา โดยจะจับคู่กับ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกในรอบ 10 เดือน และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจที่ปารีส ทำให้ เร้ด เดวิลส์ จะกลับมาใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ตามที่ถนัดอีกครั้ง

    ในแดนหน้า เร้ด เดวิลส์ จะยังไม่มี อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ติดโทษแบนเป็นเกมที่ 2 จาก 3 เกมจากการโดนใบแดงในเกมกับสเปอร์ส ซึ่งทำให้ดาวยิงตัวใหม่อย่าง เอดินสัน คาวานี่ จะได้โอกาสประเดิมสนามในเกมนี้ โดยมี มาร์คัส แรซฟอร์ด ที่เป็นฮีโร่ซีดประตูชัยให้กับทีมในเกมล่าสุดยืนริมเส้นฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ฆวน มาต้า หลังยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เมสัน กรีนวู้ด ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีม 2 เกมหลังสุดนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บตามที่โซลชาออกมายืนยันหรือเป็นเพราะการขาดระเบียบวินัยจนถูกผู้บริหารทีมเตือนก็ตาม ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนอยู่หลังศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คาวานี่

    ถึงแม้ว่า เจสซี่ ลินการ์ด พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมอีกครั้งแล้ว แต่ก็คงจะยังไม่มีชื่ออยู่ในทีม ส่วน ปอล ป็อกบา ก็จะต้องนั่งรอโอกาสอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกตามเคย รวมไปถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค

เชลซี :

    เชลซีสะดุดไม่ชนะใครมา 2 เกมติดต่อกันหลังเสมอกับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 ในเกมลีกนัดที่แล้วและเจ๊ากับเซบีย่า 0-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดแรก

    สภาพทีมของสิงโตน้ำเงินคราม ค่อนข้างสมบูรณ์ดีทีเดียวหลังขาดเพียงแค่ บิลลี่ กิลมอร์ ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ สลัดโรคเดี้ยงกลับมาเฝ้าเสาได้ในเกมที่พบกับเซบีย่า และช่วยให้ทีมไม่เสียประตูได้อีกด้วย

    ก่อนหน้านี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มไฟแรง ออกมาปฏิเสธถึงความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ ติอาโก้ ซิลวา เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บรบกวนจากการปะทะกับผู้เล่นเซบีย่า ในครึ่งหลังของเกมดังกล่าว แต่สุดท้ายก็สามารถลงสนามได้ครบ 90 นาที

    ขณะที่ ฮาคิม ซิเย็ค ดาวเตะป้ายแดง ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมายังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงนัดแรกต่อไป

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, อักเซล ตวนเซเบ้, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, อเล็กซ์ เตลลิส –  สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด – ฆวน มาต้า, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – เอดินสัน คาวานี่
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า, เบน ชิลเวลล์ – จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ –  เมสัน เมาน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช – ติโม แวร์เนอร์
    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

 

6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 6

กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก โดยสัปดาห์นี้เป็นโปรแกรมแมตช์เดย์ที่ 6 ของทั้งสองทีม โดยจะมีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันได้เลย
    "เวสต์แฮม ยูไนเต็ด-แมนฯซิตี้"

    เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ของ เดวิด มอยส์ ไม่แพ้ใครมา 3 เกมติด และคัมแบ็กตีเสมอ ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ 3-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-3

    ฝั่ง แมนฯ ซิตี้ มองหาชัยชนะสองเกมติดเป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้ และจะทำอันดับแซงหน้า ‘ขุนค้อน’ ทันทีหากคว้าสามแต้มได้

    การเจอกันครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2009 ที่ เวสต์แฮม มีอันดับเหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ โดยตอนนั้นพวกเขาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 1-0 ที่สนามอัพตัน พาร์ค

    เกมรุกของ เวสต์แฮม ดูดีเหลือเกิน เมื่อทำสกอร์ใส่คู่แข่งอย่างน้อยสามประตูใน 9 นัดของศึกพรีเมียร์ลีก ในปฏิทินปี 2020 ซึ่งไม่มีทีมทำได้มากกว่าพวกเขาอีกแล้ว

    ขณะที่ ซิตี้ ก็มีสถิติสวยหรูยามบุกเยือน ลอนดอน สเตเดี้ยม โดยเอาชนะได้ถึง 5 เกมจากทุกรายการ และทำสกอร์รวมได้ถึง 22-1 แถมยิงประตูได้อย่างน้อย 4 ประตูในแต่ละนัด

    ส่วนคนที่โดดเด่นที่สุด หนีไม่พ้น ราฮีม สเตอร์ลิง ที่มีส่วนร่วมกับประตู 11 ลูก จาก 6 เกมหลังสุดที่เจอกับ เวสต์แฮม โดยยิงได้ 6 ประตูและแอสซิสต์อีก 5 ครั้ง ซึ่งชัยชนะ 5-0 เมื่อซีซั่นที่แล้วเจ้าตัวก็ทำแฮตทริกได้

    "แมนฯ ยูไนเต็ด-เชลซี"
    แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด 2 เกมในฤดูกาลนี้ ยังไม่ชนะใคร แต่หากคว้าชัยได้จะทำคะแนนแซง เชลซี ทันที และยังจะเอาชนะคู่แข่งรายนี้ 3 เกมติดเป็นครั้งแรกอีกด้วย

    ฝั่ง เชลซี ตั้งเป้าไม่แพ้ใคร 4 เกมติด อย่างไรก็ตามการบุกชนะ ‘ปีศาจแดง’ ถึงโรงละครแห่งความฝันครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2013 โน่นเลย
   
    มาร์คัส แรชฟอร์ด จะเป็นผู้เล่นของฝั่งทีมสีแดงทันที หากสามารถทำประตูได้ 2 หรือ 3 ลูกขึ้นไปในเกมนี้ ซึ่งจะเป็นการทำสถิติดังกล่าว 2 เกมติดในการเจอกับ เชลซี ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด

    หาก เอดินสัน คาวานี่ ประเดิมสนามเกมพรีเมียร์ลีก เขาจะมีโอกาสเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดลำดับที่ 2 ที่ทำประตูได้ในเกมแรกที่ลงสนาม ในวัย 33 ปี 253 วัน ต่อจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ทำสกอร์ได้ในเกมแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2016 ในวัย 34 ปี 316 วัน

    นับตั้งแต่ออกสตาร์ทเมื่อซีซั่น 2019/20 เกมเยือนของ เชลซี จะมีประตูเกิดขึ้นมากมายเป็นตัวเลขถึง 87 ลูก ซึ่งพวกเขาทำได้ 42 ประตูในช่วงเวลาดังกล่าว โดยถือว่าเป็นทีมที่ทำประตูในเกมเยือนได้มากที่สุดของ พรีเมียร์ลีก หากนับเฉพาะช่วงนั้น

    "ลิเวอร์พูล-เชฟฯยูไนเต็ด"

    ‘แชมป์เก่า’ ลิเวอร์พูล หลีกเลี่ยงที่จะไม่ชนะใครในเกมลีก 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2018 ส่วนฝั่ง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่เคยบุกชนะที่ สนาม แอนฟิลด์ เลย ตั้งแต่ปี 1994

    ‘หงส์แดง’ เอาชนะ ‘ดาบคู่’ ได้ตลอด 3 เกมหลังสุดโดยที่ไม่เสียประตูเลย

    นับตั้งแต่วันที่ได้แชมป์ลีกเมื่อซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูล เสียประตูในเกมลีกไปถึง 25 ลูกจากการลงสนาม 12 นัด ซึ่งไม่มีทีมไหนที่เสียประตูในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว โดยที่การเสียประตู 25 ลูกก่อนหน้านั้นมาจากการลงสนาม 38 เกม

    ในการเล่นเกมเยือน 13 นัดหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก นั้น เชฟฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยยิงได้มากกว่า 1 ลูกเลย (ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 8) โดยพวกเขาทำได้รวม 6 ลูกเท่านั้นด้วย โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขายิงได้เกิน 1 ลูกในการเล่นเกมเยือนในลีกคือนัดที่บุกไปชนะ นอริช ซิตี้ 2-1 เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2019

    อีกทั้งในฤดูกาลนี้ทัพ "ดาบคู่" เป็นทีมเดียวใน พรีเมียร์ลีก ที่ยังไม่เคยได้ขึ้นนำใครก่อนเลย

    "เซาธ์แฮมป์ตัน-เอฟเวอร์ตัน"

    เซาธ์แฮมป์ตัน ตั้งเป้าคว้าชัยเกมที่ 3 ในรอบ 4 เกม หลังไล่ตีเจ๊า เชลซี 3-3 เมื่อเกมก่อน

    เอฟเวอร์ตัน เก็บได้ 13 แต้มจาก 15 คะแนนเต็ม โดยหากพวกเขาบุกคว้าชัยที่ เซนต์ แมร์รี่ส์ ได้จะทำให้ชนะเกมเยือนพรีเมียร์ลีก 4 นัดติดต่อกันได้เป็นครั้งแรก

    ‘ทีมนักบุญ’ เอาชนะ ‘ทอฟฟี่สีน้ำเงิน’ 5 นัดจากการเจอกัน 7 นัดหลังสุดในการเล่นในบ้าน ทว่าเมื่อซีซั่นก่อนพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายไป 1-2

    แดนนี่ อิงส์ ทำประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน 4 ลูกจาก 5 เกมในสีเสื้อ เซาธ์แฮมป์ตัน

    หาก เอฟเวอร์ตัน คว้าชัยในเกมนี้ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2 เกมติด

    โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน จะเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ทันทีต่อจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่สามารถทำประตูได้ทุกเกมใน 6 เกมแรกของฤดูกาล

    "อาร์เซน่อล-เลสเตอร์"

    ทั้ง อาร์เซน่อล และ เลสเตอร์ ซิตี้ ต่างมีแต้มเท่ากันในตอนนี้ โดยที่ฝั่งเจ้าถิ่นเตรียมดึงโมเมนตัมตัวเองกลับมาหลังแพ้ 2 จาก 3 เกมหลัง ที่พ่ายต่อ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    ขณะที่ฝั่ง ‘เดอะ ฟ๊อกซ์’ ต้องกลับมาสู่เส้นทางชัยชนะอีกครั้ง หลังเจ็บตัวจากความพ่ายแพ้ในบ้าน 2 เกมติดต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า

    สถิติสวยหรูของ อาร์เซน่อล ที่พอจะชื่นใจได้ คือการที่พวกเขาไม่แพ้ใครที่บ้านตัวเองในเดือนตุลาคมมาแล้วถึง 18 ปี โดยที่ลงเล่นในเดือนนี้ 32 นัด แพ้ไปแค่นัดเดียวเท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ‘เดอะ กันเนอร์ส’ ไร้พ่ายต่อ เลสเตอร์ ในบ้านตัวเองมาแล้ว 27 นัดจากทุกรายการ แบ่งเป็นชนะ 20 เสมอ 7 อย่างไรก็ตามชัยชนะเกมเยือน 2 นัดหลังของ ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ทำประตูรวมได้ถึง 8-2

    ในฤดูกาลนี้ ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีสถิติดีที่สุดในเรื่องของการทำประตูเมื่อเทียบกับโอกาสทำประตู โดยมีตัวเลขทำประตูได้ต่ำกว่า 25% จากโอกาสทั้งหมด แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถทำประตูได้เลยจากโอกาส 15 ครั้งหลังในความพ่ายแพ้ 2 เกมหลังสุด

    "เบิร์นลี่ย์-สเปอร์ส"
    เบิร์นลี่ย์ เก็บแต้มแรกของซีซั่นได้เสียที หลังบุกเสมอ เวสต์บรอมวิช 0-0 ส่วน ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ ตั้งเป้าคว้าชัยเกมเยือน 3 นัดแรกของซีซั่นเป็นครั้งที่สอง โดยที่พวกเขาทำประตูได้ถึง 11 ลูกจาก 2 เกมแรกในซีซั่นนี้

    เจ้าถิ่นมีสถิติไม่ดีนักยามเจอ ‘ไก่เดือยทอง’ โดยเอาชนะได้แค่ 2 เกมจาก 12 นัดที่พบกันใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 3 แพ้ 7) ซึ่งชัยชนะ 2 เกมดังกล่าวเกิดขึ้นในการเล่นที่ เทิร์ฟ มัวร์ เมื่อซีซั่น 2009/10 และ 2018/19

    ‘เดอะ คลาเร็ตส์’ แพ้ในบ้านตัวเองมาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน ซึ่งหากพวกเขาแพ้อีกในเกมนี้ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวามคม ปี 2018 ที่ไม่สามารถเก็บแต้มได้ในบ้าน 3 เกมติด

    ทั้ง แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน ต่างช่วยกันทำประตูให้กันและกันได้ถึง 8 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ ซึ่งหากคนใดคนหนึ่งช่วยอีกคนให้ได้ประตูอีกในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ ก็จะทำให้พวกเขาสองคนเป็นคู่หู่ของ ‘ไก่เดือยทอง’ ที่ช่วยกันทำประตูให้ทีมมากที่สุดขึ้นไปเทียบเท่า เท็ดดี้ เชอริงแฮม กับ ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน เมื่อซีซั่น 1992/93 และ เชอริงแฮม กับ คริส อาร์มสตรอง ในซีซั่น 1995/96

    ขณะที่ เคน มีส่วนกับประตูโดยตรงในการเจอกับ เบิร์นลี่ย์ 8 ลูกจาก 4 เกมหลัง โดยแบ่งเป็นทำประตูได้ 6 และแอสซิสต์อีก 2

พลิกไปพลิกมา!บ่อนปรับราคาแชมป์พรีเมียร์ฯ

ร้านพูลเมืองผู้ดี ปรับราคาแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกรอบ หลังเห็นอาการ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยดี ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ เริ่มน่ากลัวมากขึ้น
   
บริษัทรับพนันที่ถูกกฎหมายแทบทุกแห่งในประเทศอังกฤษ ปรับราคาให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับขึ้นมาเป็นเต็ง 1 คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 อีกครั้ง หลังจากเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เฉือนชนะ อาร์เซน่อล 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ ลิเวอร์พูล หล่นไปเป็นเต็ง 2

นัดล่าสุด "หงส์แดง" บุกไปเสมอ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-2 หลังจากเกมที่แล้วแพ้ แอสตัน วิลล่า เละเทะ 2-7 แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล กังวลใจมากที่สุดคืออาการบาดเจ็บหัวเข่าของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังตัวเก่ง ที่มีรายงานว่า อาจต้องพักทั้งซีซั่นเลยทีเดียว
  
วิลเลี่ยม ฮิลล์ ร้านพูลชื่อดังเมืองผู้ดี ยกให้ แมนฯ ซิตี้ เป็นเต็ง 1 ที่อัตราต่อรอง 10/11 (แทง 11 จ่าย 10 ไม่รวมทุน) ส่วน ลิเวอร์พูล หล่นเป็นเต็ง 2 ราคา 2/1 (แทง 1 จ่าย 2 ไม่รวมทุน) ตามมาด้วย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่อัตราต่อรอง 12/1 (แทง 1 จ่าย 12 ไม่รวมทุน)

อัตราต่อรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ วิลเลี่ยม ฮิลล์

1. แมนฯ ซิตี้         10/11 (แทง 11 จ่าย 10 ไม่รวมทุน)
2. ลิเวอร์พูล        2/1
3. สเปอร์ส            12/1
4. เชลซี            16/1
5. เอฟเวอร์ตัน        20/1
6. อาร์เซน่อล        25/1
7. แมนฯ ยูไนเต็ด        40/1
8. เลสเตอร์        66/1
9. ลีดส์            125/1
9. แอสตัน วิลล่า        125/1
11. วูล์ฟส์            200/1
11. เซาธ์แฮมป์ตัน        200/1
13. นิวคาสเซิ่ล        500/1
13. เวสต์แฮม        500/1
15. คริสตัล พาเลซ        750/1
15. ไบรท์ตัน        750/1
15. เบิร์นลี่ย์        750/1
18. เชฟฯ ยูไนเต็ด        1,000/1
19. เวสต์บรอมวิช        1,500/1
20. ฟูแล่ม            2,000/1

 

 

แก่กว่าเช็กก็มี! 10 แข้งอายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล2020-21

เชลซี เพิ่งจะทำเซอร์ไพรส์ใส่ชื่อของ ปีเตอร์ เช็ก ตำนานนายทวารชื่อดังเข้ามาอยู่ในขุนพลฟาดแข้งพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020/21 อย่างไรก็ตาม เช็ก ไม่ใช่นักเตะที่มีอายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ยังมีนักเตะที่มีอายุมากกว่าเขาด้วย เราไปหาคำตอบกัน
    เชลซี มีปัญหาอย่างจริงจังในตำแหน่งผู้รักษาประตูตลอดสองฤดูกาลที่ผ่านมา เกปา อาร์รีซาบาลาก้า นายทวารเจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในโลก 71.6 ล้านปอนด์ ทำผลงานย่ำแย่และก่อความผิดพลาดหลายหนจนโดนวิจารณ์อย่างหนัก

    ด้าน วิลลี่ กาบาเยโร่ นายด่านวัยเก๋ารับบทบาทเป็นมือสองของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มองเห็นว่าตำแหน่งนี้ยังเป็นจุดอ่อนจึงต้องมีการเสริมทัพ เอดูอาร์ เมนดี้ จากแรนส์เข้ามาในทีม และด้วยฟอร์มตอนนี้กุนซือ “สิงห์บลูส์” ยืนยันแล้วว่านายทวารชาวเซเนกัลเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีมแล้ว

    อย่างไรก็ตาม เชลซี มองว่าวิกฤตโควิด-19ตอนนี้ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ในปัจจุบัน พวกเขาจึงใส่ชื่อของ ปีเตอร์ เช็ก ตำนานผู้รักษาประตูที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคให้กับ เชลซี เข้ามาอยู่ใน 25 ขุนพล "สิงโตน้ำเงินคราม" ด้วย

    เช็ก ลงเล่นให้กับ เชลซี ทั้งหมด 494 นัดในช่วงระหว่างปี 2004-2015  คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 4 สมัย, แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และแชมป์ยูโรปา ลีก

    หลังจากเดินออกจาสแตมฟอร์ด บริดจ์ เช็ก ก็ย้ายมาค้าแข้งที่ อาร์เซน่อล ระยะหนึ่งก่อนจะประกาศแขวนถุงมือเมื่อปีที่แล้ว แต่ในวัย 38 ปีเขากลับมามีชื่อลุยพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

    อย่างไรก็ตามสิ่งน่าเหลือเชื่อคือ เช็ก มีอายุน้อยกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง วิลลี่ กาบาเยโร่ เสียอีก โดยนายทวารอาร์เจนไตน์มีอายุ 39 ปี แก่กว่า เช็ก อยู่ 8 เดือน ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ นั่นหมายความว่า เชลซี มีสองผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อยู่ในทีม

    นอกจากนี้ ติอาโก้ ซิลวา ปราการหลังวัยเก๋าที่ย้ายมาอยู่กับ “สิงห์บลูส์” ฤดูกาลนี้ก็ติดโผนักเตะอายุมากที่สุดในวัย 36 ปี

    ขณะที่กองหลังมากประสบการณ์ ฟิล จากีลก้า (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) และ เวส มอร์แกน (เลสเตอร์ ซิตี้) รั้งอันดับ 3 และ 4 ในวัย 38 ปีทั้งคู่

    แต่หากนับเฉพาะผู้เล่นเอ๊าฟิลด์ ฟิล จากีลก้า อดีตกองหลังเอฟเวอร์ตันถือเป็นนักเตะที่มีอายุมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ทว่าเขายังไม่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เลย แต่ลงเล่นใน คาราบาว คัพ ไป 1 นัด

    ด้าน บรานิสลาฟ อิวาโนวิช อดีตปราการหลังจอมแกร่ง เชลซี ที่คัมแบ็กสู่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในรอบ 3 ปี ด้วยการโยกซบ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน แบบไร้ค่าตัวก็มีชื่อติดโผในอันดับ 5 ด้วยวัย 36 ปี

    ส่วนอันดับที่ 7-10 เป็นนักเตะในวัย 35 ปีทั้งหมด ประกอบไปด้วย ปาโบล เอร์นานเดซ (ลีดส์ ยูไนเต็ด), ลูคัส ฟาเบียนสกี้ (เวสต์แฮม), แฟร์นานดินโญ่ (แมนฯ ซิตี้) และ ฟิล บาร์ดสลี่ย์ (เบิร์นลี่ย์)

สรุปนักเตะพรีเมียร์ลีกที่อายุมากที่สุดในฤดูกาล 2020/21

1.วิลลี่ กาบาเยโร่ (เชลซี) อายุ 39 ปี / เกิด 28 กันยายน 1981

2.ปีเตอร์ เช็ก (เชลซี) อายุ 38 ปี / เกิด 20 พฤษภาคม 1982

3.ฟิล จากีลก้า (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) อายุ 38 ปี / เกิด 17 สิงหาคม 1982

4.เวส มอร์แกน (เลสเตอร์ ซิตี้) อายุ 36 ปี / เกิด 21 มกราคม 1984

5.บรานิสลาฟ อิวาโนวิช (เวสต์บรอมฯ) อายุ 36 ปี / เกิด 22 กุมภาพันธ์ 1984

6.ติอาโก้ ซิลวา (เชลซี) อายุ 36 ปี / เกิด 22 กันยายน 1984

7.ปาโบล เอร์นานเดซ (ลีดส์ ยูไนเต็ด) อายุ 35 ปี / เกิด 11 เมษายน 1985

8.ลูคัส ฟาเบียนสกี้ (เวสต์แฮม) อายุ 35 ปี / เกิด 18 เมษายน 1985

9.แฟร์นานดินโญ่ (แมนฯ ซิตี้) อายุ 35 ปี / เกิด 4 พฤษภาคม 1985

10.ฟิล บาร์ดสลี่ย์ (เบิร์นลี่ย์) อายุ 35 ปี / เกิด 28 มิถุนายน 1985

คูมันรับไม่ได้โดนแข้งเคตาเฟ่เหยียด

โรนัลด์ คูมัน กล่าวโจมตี อัลลัน นียอม หลังโดนกล่าวด้วยคำพูดน่าเกลียดใส่ในเกมที่ บาร์เซโลน่า บุกพ่ายต่อ เคตาเฟ่ 0-1 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

โรนัลด์ คูมัน เทรนเนอร์ของ บาร์เซโลน่า ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งหลังถูก อัลลัน นียอม ผู้เล่นของ เคตาเฟ่ กล่าวคำพูดเชิงเหยียดหยามใส่ในเกมที่ ‘เจ้าบุญทุ่ม’ แพ้ 0-1 ซึ่งนับเป็นความพ่ายแพ้เกมแรกในศึก ลา ลีกา ในฤดูกาลนี้

กุนซือชาวดัตช์วัย 57 ปี รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และได้เข้าไปพูดคุยกับ โฆเซ่ บอร์ดาลาส นายใหญ่ของ เคตาเฟ่ หลังจบเกม ซึ่งทาง คูมัน เผยภายหลังว่า ฟูลแบ็กของเจ้าถิ่นตั้งใจที่จะพูดจาเชิงลบใส่ตน

"ผมบอกเขา(บอร์ดาลาส) ไปว่า นียอม แสดงไม่เคารพต่อผม ผมไม่อยากจะรื้อฟื้นกับสิ่งที่เขาพูด แต่นั่นคือสิ่งที่ผมบอกกับ บอร์ดาลาส"

"นียอม พูดจาดูถูกใส่ผม เขาทำให้เห็นถึงความไม่เคารพต่อกัน ซึ่งผมรับไม่ได้ เราไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นใส่เกมฟุตบอลสมัยใหม่ มันเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมากๆ ผมจะไม่พูดซ้ำอีก ไม่เลย"

ทั้งนี้ นียอม ซึ่งเป็นอดีตแข้ง วัตฟอร์ด และ เวสต์บรอมวิช ได้เล่นลูกหนักตลอดทั้งเกม และทำฟาวล์หลายต่อหลายครั้ง รวมถึงจังหวะที่ไปศอกเข้าใส่ ลิโอเนล เมสซี่ ทว่าเจ้าตัวกลับได้รับเพียงแค่ใบเหลืองเท่านั้น

ลิเวอร์พูลหืด-แมนยูใส!พี่มาร์คฟันธงพรีเมียร์ฯ

กูรูดังแดนผู้ดีฟันธง พรีเมียร์ลีก วีกนี้ เชื่อ ลิเวอร์พูล ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด ไม่ง่าย ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน และ แอสตัน วิลล่า สองทีมที่ยังไม่แพ้จะพลาดพร้อมกัน
    มาร์ค ลอว์เรนสัน นักวิเคราะห์เกมคนดังของ บีบีซี สื่อชั้นนำของอังกฤษ ออกโรงแสดงทรรศนะถึงฟุตบอล พรีเมียร์ลีก นัดที่ 6 ของฤดูกาล 2020/21 โดยเชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเปิดบ้านชนะ เชลซี 2-0 ส่วน ลิเวอร์พูล เฉือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หืดจับ 2-1

    ทรรศนะของ ลอว์เรนสัน
    วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม

แอสตัน วิลล่า แพ้ ลีดส์ 1-2

    วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม

เวสต์แฮม เสมอ แมนฯ ซิตี้ 1-1
ฟูแล่ม แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-2
แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ เชลซี 2-0
ลิเวอร์พูล ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1

    วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม

เซาธ์แฮมป์ตัน ชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0
วูล์ฟส์ ชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-0
อาร์เซน่อล ชนะ เลสเตอร์ 2-1

    วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม

ไบรท์ตัน ชนะ เวสต์บรอมวิช 2-0    
เบิร์นลี่ย์ ชนะ สเปอร์ส 2-1

ดีกรีรองแชมป์โลกก็มี!5นายทวารทางเลือกที่ลิเวอร์พูลควรเซ็นมาช่วยอลีสซง

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล บุกไปพ่าย แอสตัน วิลล่า แบบยับเยินหมดสภาพด้วยสกอร์ 2-7 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ถือเป็นบทพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า อาเดรียน นายประตูสำรองชาวสแปนิช ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของทีมยามจำเป็นได้ หากโกลมือหนึ่งอย่าง อลีสซง เบ็คเกอร์ มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน ซึ่งนั่นทำให้ตลอดช่วงที่ผ่านมา มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่า "หงส์แดง" อาจจะมีการดึงผู้รักษาประตูคนใหม่เข้ามา ถึงแม้กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ บอกว่ายังเชื่อมั่นในตัว อาเดรียน ก็ตาม และนี่คือผู้รักษาประตูอีก 5 ทางเลือกที่น่าสนใจ นอกเหนือจาก แจ็ค บัตแลนด์ นายด่าน สโต๊ค ซิตี้ ที่มีข่าวมาตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา
 – ดานิเยล ซูบาซิช (ไร้สังกัด)

  ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่คือนายประตูที่สามารถเซ็นสัญญาร่วมทัพได้ทุกเมื่อ เนื่องจากตอนนี้ ซูบาซิช กำลังอยู่ในสถานะนักเตะฟรีเอเจนต์ หลังจากที่หมดสัญญากับ อาแอส โมนาโก ช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยนายประตูชาวโครแอตวัย 35 ปี ผ่านเกมระดับสูงมาอย่างโชกโชน เพราะนอกจากอยู่ในทีม โมนาโก ชุดคว้าแชมป์ ลีก เอิง เมื่อซีซั่น 2016/17 แล้ว เขายังเป็นมือหนึ่งทีมชาติโครเอเชีย ที่ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก เวิลด์ คัพ 2018 ที่ประเทศรัสเซีย (แต่แพ้ ฝรั่งเศส 2-4) อีกด้วย โดยที่ผ่านมา ซูบาซิช มีข่าวเกี่ยวโยงกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, โอลิมเปียกอส และ อัล-นาสเซอร์ แต่สุดท้ายยังไม่มีสโมสรใดคว้าเขาไปร่วมทัพ

 – มิเชล ฟอร์ม (ไร้สังกัด)

  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในตลาดฟรีเอเจนต์ โดย ฟอร์ม เพิ่งหมดสัญญากับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากพูดถึงเรื่องฝีมือ ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เพราะเจ้าตัวมีดีกรีเป็นถึงอดีตนายประตูทีมชาติฮอลแลนด์ แถมมีประสบการณ์ในเวที พรีเมียร์ลีก จากการเฝ้าเสาให้กับ สวอนซี ซิตี้ และ สเปอร์ส แต่ปัญหาคือ ตลอดช่วง 2 ซีซั่นหลังสุดกับ "ไก่เดือยทอง" นั้น นายทวารชาวดัตช์วัย 36 ปี ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสารวมกันแค่ 5 นัด!!!

 – ออร์ยาน นีลันด์ (ไร้สังกัด)

  นายด่านทีมชาตินอร์เวย์วัย 30 ปี เพิ่งตกลงยกเลิกสัญญากับ แอสตัน วิลล่า มาหมาดๆ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ดังนั้น นีลันด์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจับตามองไม่น้อยในตลาดฟรีเอเจนต์ ถึงแม้ฤดูกาลก่อนเจ้าตัวลงเฝ้าเสาให้ "สิงห์ผงาด" รวมทุกรายการแค่ 11 นัด

 – อัสเมียร์ เบโกวิช (บอร์นมัธ)

  ด้วยการที่ตลาดนักเตะภายในประเทศยังคงเปิดอยู่จนถึงวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม ทำให้ ลิเวอร์พูล สามารถมองหาผู้รักษาประตูฝีมือดีจากลีกล่างได้ และ เบโกวิช ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะผ่านเกม พรีเมียร์ลีก มาอย่างมากมาย ทั้งตอนเล่นให้กับ สโต๊ค ซิตี้, เชลซี และ บอร์นมัธ ซึ่งถ้าหาก "หงส์แดง" เอาจริง และยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจไปทาบทาม ก็มีลุ้นที่จะได้ตัวเช่นกัน เพราะปัจจุบัน นายทวารร่างยักษ์ทีมชาติบอสเนียฯ วัย 33 ปี เหลือสัญญากับ "เดอะ เชอร์รี่ส์" แค่จบฤดูกาลนี้เท่านั้น

 – เบน ฟอสเตอร์ (วัตฟอร์ด)

  แม้อายุ 38 ปีแล้ว แต่ อดีตนายประตู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน คนนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาในระยะสั้น เพราะ ฟอสเตอร์ สามารถเล่นในเกมระดับ พรีเมียร์ลีก ได้สบายๆ หลังจากผ่านประสบการณ์เกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีมาเกือบ 300 นัด

ประตู “ซาลาห์” ซัดลีดส์!ลุ้นยอดเยี่ยมเดือนกันยายน

ประตูสุดงามที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตะบันใส่ ลีดส์ ยูไนเต็ด เกมเปิดหัวลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ติด 1 ใน 8 ลุ้นคว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน หลัง "บังโม" โชว์โหดซัดเต็มข้อบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมงามหยดชดช้อย ชม้อย ชะม้าย ชายตา

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่ง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล มีลุ้นรางวัลประตูยอดเยี่ยมในศึกพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนกันยายน หลังจากที่ "บังโม" โชว์การซัดประตูสุดคมกริบในแมตช์เฉือน "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 ที่สนามแอนฟิลด์ เกมเปิดซีซั่น 2020/2021

ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกโดยเวลานั้นเจ้าบ้านเสมอกับ ลีดส์ 2-2 และทีมได้ลูกฟรีคิกก่อนที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จะเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษแต่แนวรับทีมเยือนโหม่งสกัดไม่ดีมาเข้าทาง สตาร์ลูกหนังทีมชาติอียิปต์ ที่จับบอล 1 จังหวะก่อนจะตะบันเต็มข้อบอลพุ่งแหวกอากาศเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างงดงาม

สำหรับเกมกับ ลีดส์ นั้น อดีตดาวเตะ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี และ "หมาป่าเหลืองแดง" โรม่า" ซัดแฮตทริกได้ด้วยซึ่งอีกสองประตูได้มาจากจุดโทษ โดยลูกแรกเกิดขึ้นในช่วงต้นเกม และอีกลูกเป็นประตูชัยในครึ่งหลังที่ส่งให้แชมป์เก่าคว้า 3 แต้มไปอย่างหวุดหวิด

ทั้งนี้ลูกยิงของ ซาลาห์ ต้องลุ้นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนก.ย.กับอีก 7 ประตูสุดสวยมาจาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง (อาร์เซน่อล), แจ็ค แฮร์ริสัน (ลีดส์ ยูไนเต็ด), รีซ เจมส์ (เชลซี), มาเตอุส เปเรยร่า (เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน), มาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนฯ ยูไนเต็ด), ริยาด มาห์เรซ (แมนฯ ซิตี้) และ เจมส์ แมดดิสัน (เลสเตอร์ ซิตี้)

10 เกมในความทรงจำ 5 ปีระหว่าง คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล

เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2015 และจนถึงวันนี้กุนซือเลือดด๊อยช์ท ก็อยู่กับ ‘หงส์แดง’ มาแล้วถึง 5 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวมีเกมน่าประทับใจมากมาย ซึ่ง 10 เกมดังต่อไปนี้ คือสุดยอดแมตช์แห่งความทรงจำกับ ลิเวอร์พูล
1. "คล็อปป์ ทำให้แฟนบอลคล้อยตาม"

ลิเวอร์พูล 2-2 เวสต์บรอมฯ : 13 ธันวาคม 2015

   ก่อนอื่นต้องเท้าความไปถึงตอนนัดที่ 2 ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล ลงเล่นใน แอนฟิลด์ เจอกับ คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2015

   หลังจากทัพ ‘ดิ อีเกิ้ลส์’ ยิงขึ้นนำ 2-1 ช่วงท้ายเกม คล็อปป์ เริ่มรู้สึกได้ว่าแฟนบอลบางคนเริ่มทยอยเดินออกจากสนามทั้งที่ยังเหลือเวลาอีก 8 นาที

   "มันทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ๆ " เขากล่าวแบบนี้ออกมาหลังเกมคืนนั้น

   ซึ่งนี่ก็ช่วยอธิบายได้เป็นอย่างดีว่าทำไมอีก 1 เดือนให้หลัง เขาถึงฉลองอย่างสุดเหวี่ยงต่อหน้า เดอะ ค็อป ทั้งที่ทีมตามตีเสมอทีมระดับกลาง ๆ อย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

   ประตูตีเสมอจาก ดิว็อค โอริกี้ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้พวกเขาขึ้นไปรั้งอันดับ 9 ของตาราง ซึ่งตามปกติผู้จัดการทีมของทั้ง 2 ฝั่ง เมื่อจบเกมจะเข้ามาจับมือกัน แต่ คล็อปป์ เลือกที่จะไม่เดินเข้าไปหา โทนี่ พูลิส กุนซือ เดอะ แบ๊กกี้ส์ ในตอนนั้น แล้วเลือกที่จะทุบอกแบบสะใจแล้วพาลูกทีมเดินตรงไปหาแฟนๆ

   อย่างไรก็ตามตอนที่เขาฉลองแบบสุดเหวี่ยงในเกมนี้ คล็อปป์ โดนล้อเลียนอย่างหนัก แต่ในอีกไม่กี่ปีต่อมาเขาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "ผมอยากแสดงให้เห็นว่าเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นหมายความว่าผมรู้ดีว่าผมต้องรับผิดชอบกับเรื่องฟอร์มการเล่นของทีม แต่ผู้ชมน่ะคือคนที่ต้องรับผิดชอบกับบรรยากาศในสนาม"

   และนั่นคือสัญญาณแรกของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวผู้จัดการทีมและบรรดาเหล่ากองเชียร์

2. "การกลับมาอีกครั้งของค่ำคืนมหัศจรรย์ ที่ แอนฟิลด์"

   ลิเวอร์พูล 4-3 โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ (ผลสกอร์รวม 5-4) – 14 เมษายน 2016

   ช่วงท้ายฤดูกาล 2015/16 ห้วงอารมณ์ใน แอนฟิลด์ แบบฉลองสุดขีดก็กลับมาอีกครั้ง

   ขณะที่เหลือเวลาอีกแค่ 25 นาที ลิเวอร์พูล ตามหลังอยู่ 1-3 โดยที่สกอร์รวมสองนัดก็ไล่หลัง "เสือเหลือง" อยู่ 2-4 แต่เหล่าแฟนบอลที่ยังไม่หมดศรัทธาต่างปลุกเร้าอารมณ์จนเป็นส่วนสำคัญทำให้ทีมกลับมามีผลการแข่งขันที่ต้องการได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

   ลูกโขกช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ เดยัน ลอฟเรน ส่งให้ ลิเวอร์พูล ทะยานเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ และแน่นอนคนที่ดีใจสุดๆ ชนิดไม่มีใครจะห้ามได้คือตัวผู้จัดการทีม
   
   "มันเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมมากๆ, เป็นเรื่องที่สุดยอด ผมดีใจสุดๆ ตอนที่เราทำประตูได้ ทุกคนเห็นกันชัดเจนว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นบนอัฒจันทร์ คุณสามารถสัมผัสถึงมันได้, ได้ยินเสียงต่างๆ ได้ รวมถึงได้กลิ่นจากการฉลองด้านต่างๆ ด้วย"

   "เหล่า เดอะ ค็อป สร้างช่วงครึ่งชั่วโมงที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอในวงการฟุตบอลขึ้นมา" คล็อปป์ กล่าวด้วยความตื้นตัน

3. "จบได้สวยงามด้วยการไป แชมเปี้ยนส์ลีก รอบคัดเลือก"

ลิเวอร์พูล 3-0 มิดเดิลสโบรส์ – 21 พฤษภาคม ปี 2017

   6 ฤดูกาลก่อนหน้าที่จะก้าวถึงนัดชิงชนะเลิศ ณ กรุงเคียฟ เมื่อปี 2018 ลิเวอร์พูล ได้สิทธิ์เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซ้ำร้ายยังจอดป้ายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม

   กว่าที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ คว้าสิทธิ์ตั๋วยุโรปถ้วยใหญ่ ต้องมาลุ้นกันถึงเกมลีกนัดสุดท้ายจากการเอาชนะ มิดเดิลสโบรส์ เมื่อฤดูกาล 2016/17 โดยมีคะแนนมากกว่า อาร์เซน่อล ที่ตามมาแค่ 1 แต้ม และมีคะแนนน้อยกว่าทีมอันดับ 3 อย่าง เชลซี ถึง 17 คะแนน

   "ผมตั้งตารอฤดูกาลหน้าอย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ ผมคิดว่าตอนนี้เราสร้างฐานที่ยอดเยี่ยมได้แล้ว" คล็อปป์ เปิดใจหลังพาทีมคว้าตั๋วใบสุดท้าย

   ขณะที่ อลัน เชียเรอร์ ที่ทำงานเป็นกูรูให้ บีบีซี แมตช์ ออฟ เดอะ เดย์ ทำนายเอาไว้ว่า "ฤดูกาลหน้าพวกเขาจะเป็นทีมที่ดีขึ้นและเก่งขึ้นแน่นอน"

   และสุดท้ายคำทำนายของ ‘ฮอตช็อต’ ก็เป็นจริง

4. "สามประสาน ซาลาห์, มาเน่ และฟีร์มีโน่ จัดเต็ม"

วัตฟอร์ด 3-3 ลิเวอร์พูล – 12 สิงหาคม ปี 2017

   ตอนที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ย้ายจาก โรม่า มาร่วมชายคา แอนฟิลด์ เมื่อปี 2017 ทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ก็เพิ่งอยู่กับ ลิเวอร์พูล ได้เพียง 1 ฤดูกาลกับ 2 ฤดูกาล ตามลำดับ

   3 ประสานแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในตอนนี้ ต่างได้ลงเล่นร่วมกันเป็นครั้งแรกในนัดเปิดฤดูกาล 2017/18 และทั้งหมดก็ทำประตูได้ทุกคน

   มาเน่ เบิกสกอร์แรก ก่อนที่ ซาลาห์ เรียกจุดโทษโดยที่ ฟีร์มีโน่ ยิงเข้าไป หลังจากนั้น ฟีร์มีโน่ ก็เป็นคนผ่านบอลให้ ซาลาห์ ทำลูกที่ 3

   การให้ทั้ง 3 คนประสานงานลงล็อกตั้งแต่วันแรก นับเป็นผลสัมฤทธิ์ที่พา ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นเป็นต้นมา

5. "ฟาน ไดค์ สถาปนาตัวเองที่ แอนฟิลด์"

ลิเวอร์พูล 2-1 เอฟเวอร์ตัน – 5 มกราคม 2018

   แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการพยายามดึง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2017 แต่ท้ายที่สุด คล็อปป์ ก็ได้กองหลังชาวดัตช์ตามที่ตัวเองต้องการด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นค่าตัวที่สูงที่สุดของโลกสำหรับกองหลังในตอนนั้น

   โดยสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สมหวังในการล่าตัว ฟาน ไดค์ ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านั้นเป็นเพราะ เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่พอใจที่ ลิเวอร์พูล ทาบทามแบบผิดกฎ

   ถ้ามีใครสงสัยว่ามันคุ้มค่ากับการรอคอยและเงินที่จ่ายไปรึเปล่าแล้วล่ะก็ แค่นัดประเดิมสนามก็น่าจะทำให้พวกเขาหายข้องใจได้แล้ว หลังจากที่ ฟาน ไดค์ โขกทำประตูชัยให้ทีมชนะ เอฟเวอร์ตัน ในเกม เอฟเอ คัพ นัดเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์

   ฟาน ไดค์ กลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอล ลิเวอร์พูล ตั้งแต่วินาทีที่เขาสไลด์ไปฉลองประตูต่อหน้าเหล่า "เดอะ ค็อป" กระโดดดีใจฉลองต่อหน้ากองเชียร์หลายหมื่นคนที่  เป็นสักขีพยาน

   แต่ผลกระทบเชิงบวกที่เขามีต่อทีมมากที่สุดในฤดูกาลนั้นคือเรื่องเกมรับ ตอนที่ ฟาน ไคด์ ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ให้กับทีมเป็นนัดแรกนั้น ลิเวอร์พูล เสียประตูในลีกถึง 28 ลูกจากการลงเล่น 23 นัด แต่ใน 14 เกมที่ ฟาน ไดค์ ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล นั้น ทีมของ คล็อปป์ เสียไปเพียง 10 ลูกเท่านั้น
   
6. "ฝันร้าย คาริอุส จนต้องคว้า อลีสซง"

เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล – 26 พฤษภาคม ปี 2018

   ในอดีตมีหลายทีมที่เจอปัญหาตามมาหลังพ่ายแพ้เกมนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบชอกช้ำ

   ยกตัวอย่างเช่น

   โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ได้แค่แชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล 1 สมัย นับตั้งแต่แพ้นัดชิงชนะเลิศในปี 2013

   แอตเลติโก มาดริด ไม่ได้แชมป์อะไรเลยนับตั้งแต่แพ้ในปี 2014 และ 2016

   รวมถึง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ทำผลงานย่ำแย่จนโดนปลดออกจากการเป็นกุนซือ สเปอร์ส หลังจากพาทีมแพ้ในนัดชิงดำของปี 2019

   ทว่าเรื่องแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล…

   เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ 1 อย่างหลังจบเกมที่แพ้ เรอัล มาดริด 1-3 นั่นคือตำแหน่งผู้รักษาประตูมือหนึ่ง

   ลอริส คาริอุส พลาดแบบมหันต์ ชนิดเลวร้ายสุดขีดแบบที่ไม่เคยมีนายด่านคนไหนทำมาก่อนในเกมนัดชิงฯ ชปล. ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นถึง 2 หนด้วยกัน

   หลังจากนั้น ความมั่นใจของ คาริอุส ถดถอยไปเยอะ ลิเวอร์พูล จึงหันไปดึง อลีสซง มาจาก โรม่า ด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติโลกที่ 66.8 ล้านปอนด์ ถึงแม้ว่านายด่านชาวบราซิเลียนจะเคยเสียไปรวมกัน 7 ประตูในตอนที่เจอกับ ลิเวอร์พูล ในรอบรองชนะเลิศของฤดูกาล 2017-18 ก็ตาม

   การเสริมทัพในครั้งนั้นนับเป็นการเปลี่ยนทุกอย่าง เพราะ ลิเวอร์พูล กลายเป็นแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่ย 21018-19 ก่อนที่จะมาเป็นแชมป์ลีกในซีซั่นนี้ โดยตลอดช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาที่เขาเล่นให้ ลิเวอร์พูล นั้น อลีสซง ลงเล่นไป 81 นัด และเสียไป 51 ประตู
   
7. "กำเนิดโคตรฟูลแบ็กแห่งยุค"

ลิเวอร์พูล 2-0 ฟูแล่ม – 11 พฤศจิกายน ปี 2018

   ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ยอมจ่ายเงินระดับสถิติโลกเพื่อการได้มาซึ่ง อลีสซง กับ ฟาน ไดค์  แต่อีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จคือฟูลแบ็กทั้งสองข้างซึ่งมีค่าตัวรวมกันเพียง 8 ล้านปอนด์เท่านั้น

   แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และเด็กจากท้องถิ่นอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะกลายเป็นจอมแอสซิสต์อย่างในทุกวันนี้ได้ โดยตอนนี้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็เพิ่งมีอายุแค่ 22 ปีเท่านั้นด้วย

10 เกมในความทรงจำ 5 ปีระหว่าง คล็อปป์ กับ ลิเวอร์พูล
   เกมแรกที่ทั้งคู่ต่างก็ทำแอสซิสต์ได้ในนัดเดียวกันนั้นไม่ได้เป็นเกมที่น่าสนใจมากนัก เพราะเป็นการชนะ ฟูแล่ม ที่ตอนนั้นเป็นบ๊วยของตารางคะแนน โดย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดบอลให้ ซาลาห์ ทำประตูขึ้นนำให้ทีม ส่วน โรเบิร์ตสัน ครอสบอลให้ เซอร์ดาน ชากิรี่ ทำประตู

   ก่อนถึงเกมนั้นทั้งคู่ทำแอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก รวมกันได้เพียง 9 ครั้ง (แบ่งเป็น 7 หนของ โรเบิร์ตสัน และ 2 ครั้งของ อล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์) แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็ทำแอสซิสต์ได้รวมกันกว่า 40 หน และทั้งสองก็มักบลัฟกันเรื่องแอสซิสต์แข่งกัน (ฮา)

8. "การคัมแบ็กที่ยอดเยี่ยมที่สุด"

ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า (ประตูรวมชนะ 4-3) – 7 พฤษภาคม ปี 2019

   ลิเวอร์พูล แทบจะสิ้นหวังหลังแพ้ 0-3 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่สนาม คัมป์ นู เมื่อฤดูกาลก่อน

   ทว่านัดที่สองพวกเขาโชว์ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดนัดหนึ่งที่ แอนฟิลด์ ขึ้นมาได้ ด้วยการทำไป 4 ลูก และไม่เสียประตูเลย จนทำให้ทีมไปถึงนัดชิงชนะเลิศได้

   การเปิดลูกเตะมุมให้ ดิว็อค โอริกี้ อย่างรวดเร็วของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก่อนที่ โอริกี้ จะทำประตูชัยได้โดยที่แนวรับของ บาร์เซโลน่า ยังไม่ทันตั้งตัวนั้น อาจจะเป็นจังหวะที่ถูกพูดถึงตามผับในย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ไปอีก 50 ปีต่อจากนี้เลย

   และถ้าไม่มีจังหวะนั้นแล้วล่ะก็ อาจจะไม่เกิดเกมที่อยู่ในลิสต์ลำดับถัดไปก็เป็นได้

9. -"แชมป์ยุโรป สมัย 6"

ลิเวอร์พูล 2-0 สเปอร์ส – 1 มิถุนายน ปี 2019

   หลายคนอาจลืมไปแล้ว แต่ที่จริง คล็อปป์ ต้องใช้เวลาเกือบ 4 ปีกว่าที่จะได้แชมป์เป็นรายการแรกกับ ลิเวอร์พูล

   ก่อนหน้านั้นเขาแพ้ในนัดชิงชนะเลิศทั้ง 6 ครั้ง เมื่อนับรวมทั้งตอนคุม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล แถมก่อนลงเล่นนัดชิงชนะเลิศพวกเขายังเพิ่งผิดหวังจากการที่ต้องเป็นเพียงรองแชมป์เพราะแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเพียง 1 คะแนนด้วย โดยที่ฤดูกาล 2018/19 ลิเวอร์พูล เก็บได้ถึง 97 คะแนน จนทำให้พวกเขาสร้างสถิติเป็นทีมรองแชมป์ที่เก็บแต้มได้เยอะที่สุด

   แต่พวกเขาก็หาวิธีเอาชนะ สเปอร์ส ในนัดชิงชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ววันนั้นพวกเขาเล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่เลย ซาลาห์ ยิงให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 2 หลังจากที่ มูสซ่า ซิสโซโก้ ทำแฮนด์บอล และ โอริกี้ ก็มาทำประตูในช่วงท้ายเกมจนกลายเป็นประตูตอกย้ำชัยชนะ

   "มันเป็นฤดูกาลที่ดุเดือด และเป็นซีซั่นที่มีตอนจบสวยงามที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการออกเลยล่ะ" คล็อปป์ ระบุ

10. "ทิ้ง 8 แต้ม และหนีแบบไม่เห็นฝุ่น"

ลิเวอร์พูล 3-1 แมนฯ ซิตี้ – 10 พฤศจิกายน ปี 2019

   การแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2 เมื่อวันที่ 3 มกราคม ปี 2019 เป็นปัจจัยที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ชวดแชมป์ลีกในฤดูกาล 2018-19

   แต่ฤดูกาลนี้พวกเขาก็แก้ตัวได้ในเกมที่ แอนฟิลด์ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

   หากวันนั้นทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นฝ่ายชนะแล้วล่ะก็ ช่องว่างระหว่างทั้ง 2 ทีมก็จะเหลือเพียง 3 แต้ม แต่กลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล ชนะไป 3-1 โดยจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมดังกล่าวที่ถึงขั้นถูกมองว่าเป็นจุดตัดสินแชมป์ด้วย ก็คือการที่ตอนแรก แมนฯ ซิตี้ ฟ้องว่าน่าจะได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหมือนจะทำแฮนด์บอลในตอนที่ แบร์นาร์โด้ ซิลวาเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่แล้วอีก 21 วินาทีต่อมา ลิเวอร์พูล ก็ได้ประตูจาก ฟาบินโญ่

   พอจบเกมนั้น ลิเวอร์พูล ก็นำห่าง ซิตี้ เพิ่มเป็น 9 คะแนน และมากกว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นอันดับ 2 เป็นจำนวน 8 แต้ม หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็เล่นได้ยอดเยี่ยมจนไม่ต้องพะวงอะไรอีกเลย ชนะติดต่อกัน 18 เกม และไม่แพ้ใครเป็นเวลา 422 วันติด ก่อนที่สถิติจะไปหยุดที่เกมกับ วัตฟอร์ด ที่แพ้ไป 0-3

   สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้แชมป์ลีกโดยที่ไม่ต้องเล่นเอง เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปแพ้ เชลซี และตอนนี้ ลิเวอร์พูล ก็กำลังมีลุ้นเก็บแต้มโดยรวมได้สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ด้วย

เลสเตอร์หวังยึดฝูงคืน! “วาร์ดี้” ประจำการลั่นไกรับเวสต์แฮม PPTV ยิงสด

"จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี้ หากคว้าชัยมีโอกาสแซงกลับขึ้นไปนำจ่าฝูงอีกครั้งโดย เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงตัวเก่งยังคงลงตัวจริงล่าสกอร์เหมือนเดิม เกมรับการมาเยือนของ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : PPTV HD และ True Premier HD1 (เวลา : 18.00 น.)

ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
เลสเตอร์ ซิตี้   –   เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ถ่ายทอดสด
 :  PPTV HD และ True Premier HD1 (เวลา : 18.00 น.)


สนาม : คิง เพาเออร์ สเตเดี้ยม

    เลสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ออกสตาร์ตด้วยการชนะ 3 เกมรวด โดยเกมล่าสุดพวกเขาบุกไปถล่ม แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า 5-2 โดยเกมนั้น เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกตัวเก่ง สามารถทำแฮตทริก ใส่ทัพเรือใบสีฟ้าอีกด้วย 

    สภาพทีมเกมที่จะถึงนี้ ทัพจิ้งจอกสยามจะยังไม่สามารถใช้งาน ริคาร์โด้ เปเรยร่า, วิลเฟรด เอ็นดิดี้ และ ฟิลิป เบนโควิช ที่ยังเดี้ยงอยู่ ส่วนในรายของ จอนนี่ อีแวนส์ เจ็บน่อง, เดนนิส ปราต เจ็บเข่า, เดมาไร เกรย์ มีอาการป่วย และ เจมี่ วาร์ดี้ เจ็บสะโพก นั้นต้องรอเช็กสภาพความฟิตว่าจะพร้อมสำหรับเกมพรุ่งนี้ไหม ส่วนแข้งใหม่ล่าสุดอย่าง เวสเล่ย์ โฟฟาน่า กองหลังที่เพิ่งมาจากแซงต์-เอเตียน เมื่อวันศุกร์ ก็พร้อมประเดิมเช่นกัน 

    การจัดทัพ บีร็อดน่าจะมาในระบบ (4-1-4-1) โดยมี แคเปอร์ ชไมเคิ่ล ยืนเฝ้าเสา คู่เซนเตอร์ใช้งานทาง จอนนี่ อีแวนส์ จับคู่กับทาง คักลาร์ โซยุนชู แบ็กขวาเป็นทาง ติโมธี คาสตานเญ่ แบ็กซ้ายใช้งาน เจมส์ จัสติน ขยับมาที่แดนกลาง ใช้ น็อมปาลิส เมนดี้ เป็นตัวตัดเกม โดยมี ยูริ ตีเลอมันส์ และ เจมส์ แมดดิสัน เป็นตัวขับเคลื่อนเกมในแดนกลาง ริมเส้นฝั่งขวาใช้ เดนนิส ปราต ริมเส้นฝั่งซ้ายใช้ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ โดยมี เจมี่ วาร์ดี้ เป็นหัวหอกตัวเป้า

    ด้านเวสต์แฮมที่ตอนนี้ใช้ อลัน เออร์ไวน์ เป็นคนดูแลข้างสนามแทน เดวิด มอยส์ ที่ติดโควิด-19 เพิ่งพาทีมถล่มวูล์ฟแฮมป์ตัน 4-0 ในเกมลีกล่าสุด ก่อนโดนเอฟเวอร์ตันถล่มเละ 4-1 ในลีก คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ เป็นการแพ้นัดแรกในรอบ 3 เกม 

    สภาพทีมเกมที่จะถึงนี้ ทีมขุนค้อนจะขาด อิสซ่า ดิย็อป และ จอช คัลเลน 2 แข้งที่ติดโควิดพร้อมกับมอยส์ ส่วนผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บมีเพียงเเค่ ไรอัน เฟรเดอริคส์ ที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ขณะที่ วลาดิเมียร์ ซูฟัล แบ็กขวาตัวใหม่ที่ย้ายมาจากสลาเวีย ปราก มีลุ้นประเดิมลงสนามให้ต้นสังกัดใหม่เช่นกัน 

    การจัดทัพ เวสต์แฮมน่าจะมาในระบบ 5-4-1 มี ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ยืนเฝ้าเสา แผงหลังมี ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า และ อารอน เครสส์เวลล์ เป็นสามเซนเตอร์ แบ็กขวาใช้ทาง เบนจามิน จอห์นสัน ทางซ้ายเป็น อาร์กตูร์ มาซูอากู แดนกลางใช้ โทมัส ซูเช็ค กัล เดแคลน ไรซ์ ยืมคุมเกม ส่วนตัวริมเส้นทำเกมฝั่งขวา-ซ้ายใช้ จาร์ร็อด โบเว่น กับ ปาโบล ฟอร์นัลส์ โดยมี มิคาอิล อันโตนิโอ เป็นหน้าเป้า


นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม
    
    เลสเตอร์ ซิตี้ (4-1-4-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ติโมธี คาสตานเญ่, จอนนี่ อีแวนส์, คักลาร์ โซยุนชู, เจมส์ จัสติน-น็อมปาลิส เมนดี้-เดนนิส ปราต, ยูริ ตีเลอมันส์, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์-เจมี่ วาร์ดี้ 
    ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส     

    เวสต์แฮม (5-4-1) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้-เบนจามิน จอห์นสัน, ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์, อาร์กตูร์ มาซูอากู-จาร์ร็อด โบเว่น, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์, ปาโบล ฟอร์นัลส์ – มิคาอิล อันโตนิโอ 
    ผู้จัดการทีม : อลัน เออร์ไวน์ (รักษาการ)
 
    ผู้ตัดสิน : แอนดี้ แมดลี่ย์ 

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน

23/01/20    พรีเมียร์ลีกเลสเตอร์ 4 – 1 เวสต์แฮม 
29/12/19    พรีเมียร์ลีกเวสต์แฮม 1 – 2 เลสเตอร์
20/04/19    พรีเมียร์ลีกเวสต์แฮม 2 – 2 เลสเตอร์
27/10/18    พรีเมียร์ลีกเลสเตอร์ 1 – 1 เวสต์แฮม 
05/05/18    พรีเมียร์ลีกเลสเตอร์ 0 – 2 เวสต์แฮม 


ผลงาน 5 นัดหลังสุด
เลสเตอร์

27/09/20 ชนะ แมนฯ ซิตี้ 5-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
24/09/20 แพ้ อาร์เซน่อล 0-2 (เหย้า) ลีก คัพ 
21/09/20 ชนะ เบิร์นลี่ย์ 4-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
13/09/20 ชนะ เวสต์บรอมวิช 3-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
05/09/20 เสมอ แบล็คเบิร์น 1-1 (เหย้า) กระชับมิตร 

เวสต์แฮม
30/09/20 แพ้ เอฟเวอร์ตัน 1-4 (เยือน) ลีก คัพ
27/09/20 ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 4-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
23/09/20 ชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 5-1 (เหย้า) ลีก คัพ 
20/09/20 แพ้ อาร์เซน่อล 1-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก 
16/09/20 ชนะ ชาร์ลตัน 3-0 (เหย้า) ลีก คัพ