อยู่กับมาดริดจนเลิก!โครสเผยข้อเสนอย้ายทีมเพียบแต่ไม่สน

โทนี่ โครส มิดฟิลด์ เรอัล มาดริด ระบุ เคยได้รับข้อเสนอให้ย้ายออกจากทีมอยู่หลายครั้ง แต่ตนก็ตั้งใจที่จะอยู่กับ "ราชันชุดขาว" ไปจนเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ

โทนี่ โครส กองกลางชาวเยอรมันของ เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ ลา ลีกา สเปน เปิดเผยว่าที่ผ่านมาตนเคยได้รับข้อเสนอให้ย้ายออกจากทีมหลายครั้ง แต่ก็ไม่คิดที่จะเจรจาเรื่องดังกล่าวเลย

โครส เล่นให้กับ มาดริด เป็นฤดูกาลที่ 7 แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก อาทิเช่น การได้แชมป์ลีก 2 สมัย และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 ครั้ง เป็นต้น แต่ที่ผ่านมาก็มีข่าวลือเป็นระยะๆ ว่าเขาอาจจะย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดในช่วงโค้งสุดท้ายของอาชีพการเล่น

"ผมชอบกลับไปที่ เยอรมนี อยู่เสมอ เพราะที่นั่นคือบ้านเกิดของผม และที่นั่นก็พูดภาษาเดียวกับผม ที่จริงผมได้รับข้อเสนอหลายข้อเสนอ แต่ผมไม่เคยพูดกับสโมสรอื่นๆ เลย เพราะว่าความคิดของผมคือการอยู่กับ เรอัล มาดริด ไปจนแขวนสตั๊ด" แข้งวัย 30 ปี ระบุ

ลิเวอร์พูล ไร้ติอาโก้จัด “โชต้า” ตัวจริงรับมือ มิดทิลลันด์ ศึกชปล.

"หงส์แดง" หวังโกยอีก 3 แต้มหลังเกมนี้ได้กลับมาเฝ้ารังรับมือ มิดทิลลันด์ ทีมดังจากเดนมาร์ก ซึ่งเกมนี้ยังไร้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ห้องเครื่องตัวเก่งที่ยังมีอาการบาดเจ็บ ส่วนแนวรุกจะให้ ดีโอโก้ โชต้า ออกสตาร์ทตัวจริงประสานงานร่วมกับ 3 ประสานทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม คืนวันอังคารที่ 27 ตุลาคม นี้
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม ดี
ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) – มิดทิลลันด์ (เดนมาร์ก)       
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563 เวลา : 03.00 น.
สนาม : แอนฟิลด์

สภาพทีมโดยทั่วไป

ลิเวอร์พูล

    เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ลิเวอร์พูล พาทีมเบียดชนะอาแจ็กซ์ 1-0 ในนัดแรก ก่อนเชือดเชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด 

    ความพร้อมเกมนี้ คล็อปป์ ออกมายืนยันแล้วว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ โฌแอล มาติป จะพลาดเกมเปิดรังรับทีมจากแดนโคนมเช่นเดียว ขณะที่ นาบี เกอิต้า แม้ผลตรวจโควิด-19ล่าสุดออกมาเป็นลบ แต่ยังต้องเช็กสภาพร่างกาย

    ส่วนพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนทั้ง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ คอนสแตนตินอส ซิมิคาส ต้องพักยาวเหมือนเดิม

    สำหรับแกนหลักขาประจำรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ซัดประตูชัยในเกมเปิดบ้านเฉือน เชฟฯยุไนเต็ด 2-1 น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเช่นกัน

มิดทิลลันด์

    ไบรอัน ปริสเก้ เทรนเนอร์มมิดทิลลันด์ พาทีมเปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างน่าหดหู่ หลังแพ้อตาลันต้าเละ 0-4 แต่ก็แก้ตัวได้ด้วยการเบียดชนะบรอนด์บี้ 3-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะนัดที่ 3 ในรอบ 5 เกม 

    สภาพทีมเกมนี้ ปริสเก้ จะชวดใช้งาน โอลิเวอร์ โอลเซ่น และ คริสเตียน ริส ที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเหมือนเดิม

    นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไรรบกวนเพิ่ม แกนหลักประจำทีมรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, แฟร้งค์ ออนเยก้า, โซรี่ กาบ้า และ ปิยอน ซิสโต้ แนวรุกทีมชาติเดนมาร์ก ต่างพร้อมช่วยทีมทั้งหมด

นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม – ดีโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์

    เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์

    มิดทิลลันด์ (4-2-3-1) : เยสเปอร์ ฮันเซ่น – โยเอล อันเดอร์สสัน, เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, เปาลินโญ่ – เยนส์ คายุสเต้, แฟร้งค์ ออนเยก้า – อันเดอร์ส เดรเยอร์, ปิยอน ซิสโต้, อาเวอร์ มาบิล – โซรี่ กาบ้า  

    เทรนเนอร์ : ไบรอัน ปริสเก้

    ผู้ตัดสิน : พาเวล ราซคอฟสกี้ (โปแลนด์)

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
ไม่เคยพบกัน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลิเวอร์พูล
25/10/20 ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
21/10/20 ชนะ อาแจ็กซ์ 1-0 (เยือน) ชปล.
17/10/20 เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/10/20 แพ้ แอสตัน วิลล่า 2-7 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
01/10/20 เสมอ อาร์เซน่อล 0-0 (เหย้า) ลีก คัพ

มิดทิลลันด์
24/10/20 ชนะ บรอนด์บี้ 3-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
22/10/20 แพ้ อตาลันต้า 0-4 (เหย้า) ชปล.
17/10/20 ชนะ โอเดนเซ่ 3-1 (เหย้า) ซูเปอร์ลีกา
04/10/20 เสมอ ฮอร์เซ่นส์ 2-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
01/10/20 ชนะ สลาเวีย ปราก 4-1 (เหย้า) ชปล.

“มาร์กซิยาล” ยังแบน!แมนยูส่ง “คาวานี่” เปิดซิง,เชลซีกู้ชัย! “แวร์เนอร์” พร้อมล่า

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยังไม่สามารถลงช่วยทีมได้เหตุติดโทษแบน ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ น่าจะได้ลงประเดิมสนามเกม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดถิ่นรับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ต้องการขุดฟอร์มเก่งโดยมี ติโม แวร์เนอร์ พร้อมล่าตาข่าย ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด   –   เชลซี
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แมนฯ ยูไนเต็ด :

    แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งใน 2 เกมที่ผ่านมาหลังบุกไปคว้าชัยเหนือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ในเกมลีกนัดล่าสุด ต่อด้วยการยัดเยียดความปราชัยให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคม

    ความพร้อมของปีศาจแดงในเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์ ออกมายืนยันว่า เอริก ไบยี่ ที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์โดนโรคเดี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อเล่นงาน ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ และจะพลาดช่วยทีมในเกมที่จะพบกับสิงโตน้ำเงินคราม, แอร์เบ ไลป์ซิก, อาร์เซน่อล, อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ และ เอฟเวอร์ตัน โดยคาดว่าเจ้าตัวจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมหลังช่วงพักเบรกทีมชาติที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของเวสต์บรอมวิช ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน

    เช่นเดียวกันกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้ลงสนามในเกมกับเปแอสเช หลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมทีมชาติ แต่อดีตนายใหญ่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ หวังว่า เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดี จะผ่านการทดสอบความฟิตกลับช่วยทีมได้ทันเวลา โดยจะจับคู่กับ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกในรอบ 10 เดือน และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจที่ปารีส ทำให้ เร้ด เดวิลส์ จะกลับมาใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ตามที่ถนัดอีกครั้ง

    ในแดนหน้า เร้ด เดวิลส์ จะยังไม่มี อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ติดโทษแบนเป็นเกมที่ 2 จาก 3 เกมจากการโดนใบแดงในเกมกับสเปอร์ส ซึ่งทำให้ดาวยิงตัวใหม่อย่าง เอดินสัน คาวานี่ จะได้โอกาสประเดิมสนามในเกมนี้ โดยมี มาร์คัส แรซฟอร์ด ที่เป็นฮีโร่ซีดประตูชัยให้กับทีมในเกมล่าสุดยืนริมเส้นฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ฆวน มาต้า หลังยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เมสัน กรีนวู้ด ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีม 2 เกมหลังสุดนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บตามที่โซลชาออกมายืนยันหรือเป็นเพราะการขาดระเบียบวินัยจนถูกผู้บริหารทีมเตือนก็ตาม ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนอยู่หลังศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คาวานี่

    ถึงแม้ว่า เจสซี่ ลินการ์ด พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมอีกครั้งแล้ว แต่ก็คงจะยังไม่มีชื่ออยู่ในทีม ส่วน ปอล ป็อกบา ก็จะต้องนั่งรอโอกาสอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกตามเคย รวมไปถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค

เชลซี :

    เชลซีสะดุดไม่ชนะใครมา 2 เกมติดต่อกันหลังเสมอกับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 ในเกมลีกนัดที่แล้วและเจ๊ากับเซบีย่า 0-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดแรก

    สภาพทีมของสิงโตน้ำเงินคราม ค่อนข้างสมบูรณ์ดีทีเดียวหลังขาดเพียงแค่ บิลลี่ กิลมอร์ ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ สลัดโรคเดี้ยงกลับมาเฝ้าเสาได้ในเกมที่พบกับเซบีย่า และช่วยให้ทีมไม่เสียประตูได้อีกด้วย

    ก่อนหน้านี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มไฟแรง ออกมาปฏิเสธถึงความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ ติอาโก้ ซิลวา เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บรบกวนจากการปะทะกับผู้เล่นเซบีย่า ในครึ่งหลังของเกมดังกล่าว แต่สุดท้ายก็สามารถลงสนามได้ครบ 90 นาที

    ขณะที่ ฮาคิม ซิเย็ค ดาวเตะป้ายแดง ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมายังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงนัดแรกต่อไป

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, อักเซล ตวนเซเบ้, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, อเล็กซ์ เตลลิส –  สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด – ฆวน มาต้า, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – เอดินสัน คาวานี่
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า, เบน ชิลเวลล์ – จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ –  เมสัน เมาน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช – ติโม แวร์เนอร์
    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

 

แนวรับแกร่ง,คาวานี่เกือบยิง!ตัดเกรดแข้งแมนยูเกมเจ๊าจืดเชลซี

เกมบิ๊กแมตช์ในศึก พรีเมียร์ลีก ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี เมื่อคืนวันเสาร์ จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 โดยที่ "ปีศาจแดง" มีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า แต่จบกันไม่คม แถมต้องซูฮกความเหนียวหนึบของนายประตูทีมคู่แข่งด้วย ส่วนแนวรับถือว่าต้องชื่นชม เพราะทำให้ "สิงห์บลูส์" แทบไม่มีโอกาสได้ลุ้นทำประตูเลย และนี่คือผลสอบของนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ละคนในแมตช์นี้
11 ผู้เล่นตัวจริง

 – ดาบิด เด เคอา : 6
  เจองานไม่หนัก ตลอดทั้งเกมได้เซฟเบาๆ หนเดียว 


 

 – อารอน วาน-บิสซาก้า : 7
  เกมรุกอาจยังไม่มีทีเด็ด แต่เกมรับยังคงไว้ใจได้ ซึ่งถือเป็นการสานต่อผลงานอันยอดเยี่ยมจากเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงกลางสัปดาห์

 – วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ : 7.5
  เป็นเกมที่เล่นได้แข็งแกร่ง รับมือได้ทุกรูปแบบ จัดการกับ ติโม แวร์เนอร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

 – แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (C) : 7
  คุมแนวรับได้ดี เคลียร์บอลทิ้งได้ตลอด และชนะการดวลลูกกลางอากาศได้แบบ 100% (5/5)

 – ลุค ชอว์ : 6
  อาจจะไร้ข้อผิดพลาด แต่ดูเหมือนเล่นแบบกองหลังสามตัวได้ดีกว่าแบบสี่ตัว แถมมีปัญหาในการรับมือกับ รีส เจมส์ บางจังหวะ


 

 – สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ : 6.5
  ช่วยเกมรับได้ดี ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เล่นด้วยความยากลำบาก แต่เสียเวลากับบอลมากไปหน่อย

 – เฟร็ด : 7
  สู้กับแดนกลาง เชลซี ได้ดี โดยเฉพาะการตัดบอล ซึ่งเจ้าตัวทำได้ 3 ครั้ง ถือว่ามากสุดในทีม "ปีศาจแดง" เท่ากับ แม็คโทมิเนย์ 


 

 – ฆวน มาต้า : 6.5
  เล่นได้โอเคเลย สร้างโอกาสสวยๆ หลายครั้ง แถมมียิงได้ลุ้น 1 หนด้วย แต่โดยรวมได้บอลน้อยไปหน่อย ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงครึ่งหลัง

 – บรูโน่ แฟร์นันด์ส : 7
  อาจจะดูเงียบๆ แต่สร้างโอกาสให้เพื่อนลุ้นทำประตูถึง 4 หน มากสุดเหนือทุกคนในสนามเกมนี้


 

 – แดเนี่ยล เจมส์ : 5
  เป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าผิดหวังสำหรับปีกชาวเวลส์ ไม่แปลกใจที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

 – มาร์คัส แรชฟอร์ด : 7
  ช่วง 10 นาทีสุดท้ายครึ่งแรก มีโอกาสหลุดเข้าไปยิงเน้นๆ แต่ติดเซฟ เอดูอาร์ เมนดี้ หลังนั้นก็เล่นได้อันตรายเป็นระยะ แต่การตัดสินใจจังหวะสุดท้ายยังไม่ดี

 

สำรองที่ได้ลงเล่น

 – ปอล ป็อกบา (แทน มาต้า น. 58) : 6.5
  ช่วยยกระดับการทำเกมในแดนกลางได้ดี แต่ช่วงท้ายเกมน่าจะทำได้ดีกว่านี้กับการยิงบริเวณกรอบเขตโทษ

 

 – เอดินสัน คาวานี่ (แทน เจมส์ น. 58) : 6
  ใช้เวลาอยู่ในสนามเพียงไม่กี่วินาที ก็ได้ลุ้นทำประตูแบบเสียวๆ ทันที และช่วงท้ายเกมมีได้ลุ้นอีกครั้งด้วย แม้ไร้สกอร์ แต่ก็โชว์ให้เห็นถึงเซนส์บอลของดาวยิงระดับเวิลด์คลาส

 – เมสัน กรีนวู้ด (แทน แม็คโทมิเนย์ น. 83) : –
  ไม่สามารถให้คะแนนได้

มาดริดเก็บชัยเอล กลาซิโก้!บุกอัดบาร์ซ่าพังคาถิ่น3-1

"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด บุกเก็บชัยเหนืออริตลอดกาลอย่าง "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า 3-1 คว้าสามคะแนนสำคัญจากศึก เอล กลาซิโก้ ทะยานขึ้นไปอยู่จ่าฝูงของตาราง ในเกมลา ลีกา เมื่อวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 63

ฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
บาร์เซโลน่า 1-3 เรอัล มาดริด

สนาม : คัมป์ นู

    ศึก เอล กลาซิโก้  "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า เปิดบ้านต้อนรับ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด โดยเจ้าถิ่น ไม่ชนะใครในเกมลีกมา 2 นัดติดต่อกัน ก่อนจะคืนฟอร์มเก่งด้วยการเปิดบ้านไล่ถลุงเฟเรนซ์วารอส 5-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

    ความพร้อม อาซูลกราน่า ในเกมนี้ โรนัลด์ คูมัน ได้ จอร์ดี้ อัลบา ที่สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ทัน ตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าเป็นหน้าที่ของ ลิโอเนล เมสซี่

    ส่วน เรอัล มาดริดแพ้มา 2 เกมรวด เพราะหลังพ่ายให้กับ กาดิซ นัดล่าสุด ยังไปแพ้ให้กับ ชัคตาร์ โดเนตส์ค 2-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม อีกต่างหาก ทำให้เกมนี้ยังเป็นสำคัญต่ออนาคต ซีเนดีน ซีดาน ไม่น้อย โดยผู้จัดการทีมชาวน้ำหอม ไม่มี เอแด็น อาซาร์, ดานี่ การ์บาฆาล ที่เจ็บ แต่ได้ เซร์คิโอ รามอส คัมแบ็กกลับมาช่วยทีมได้ทันในเกมนี้
   
    เริ่มเกมมาเพียง 5 นาที ทีมเยือนได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว เมื่อได้บอลบุกขึ้นมาถึงกรอบเขตโทษ คาริม เบนเซม่า จ่ายบอลทะลุช่องอย่างสวยให้ เฟเดริโก บัลเบร์เด้ วิ่งสอดขึ้นมาในกรอบเขตโทษ ก่อนยิงสวนตัว เนโต้ ตุงตาข่าย เป็นสกอร์ให้  เรอัล มาดริด บุกขึ้นนำ 1-0
   
    อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 9 บาร์เซโลน่า ก็มาทวงประตูคืนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อ ลิโอเนล เมสซี่ ยกบอลจากกลางสนามาให้  จอร์ดี้ อัลบา เติมหลุดขึ้นมาตรงกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนเปิดไปหน้าประตูให้ อันซู ฟาติ เข้าฮอร์สแปจ่อๆไม่เหลือ ขยับสกอร์ให้เจ้าถิ่นเสมอ 1-1
   
    นาทีที่ 24 เจ้าถิ่น มีลุ้นอีกครั้ง เมื่อได้ลูกเตะมุม แต่ลูกโหม่งของ ลิโอเนล เมสซี่ ไม่หนี ติโบต์ กูร์กตัวส์ สักเท่าไหร่ ทำให้นายทวารชาวเบลเยียมเซฟไว้ได้ไม่ยาก ก่อนนาทีต่อมา จะเป็นทีของ ราชันชุดขาวบ้าง เมื่อ โทนี่ โครส หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนหักเข้ากลางให้ คาริม เบนเซม่า แปเน้นๆ แต่หัวหอกฝรั่งเศสยิงไปตรงตัว เนโต้ จึงใช้ขาเซฟได้ทัน

    นาทีที่ 28 ทีมเยือนมีใจแป้ว เมื่อ ลิโอเนล เมสซี่ พาบอลลุยเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนไปโดน คาเซมีโร่ สกัดบอลจากด้านหลัง ผู้ตัดสินมีเช็กสัญญาณจากวีเออาร์ นิดนึงก่อนตัดสินว่าไม่ฟาวส์ ทำให้  เรอัล มาดริด รอดเสียจุดโทษหวุดหวิด
   
    นาทีที่ 36  เรอัล มาดริด ใช้จังหวะโต้กลับเล่นงานเจ้าถิ่น และก็มีโอกาสได้จบสกอร์ เมื่อ คาริม เบนเซม่า ได้กดยิงเต็มๆตรงเส้นกรอบประตู แต่แนวรับ บาร์เซโลน่า ยังตามมาช่วยกันบล็อคได้ทันพอดี

    ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีจังหวะเข้าทำจะแจ้งกันเท่าไหร่ หมดครึ่งแรกจึงเป็น บาร์เซโลน่า เปิดบ้านเสมอ  เรอัล มาดริด อยู่ 1-1

    เริ่มครึ่งหลังนาทีที่ 52 บาร์เซโลน่า มาได้เสียวอีกครั้ง โดยเล่นรูปแบบเดียวกับที่ยิงได้ บอลเริ่มจาก ลิโอเนล เมสซี่ แทงทะลุช่องให้ จอร์ดี้ อัลบา หลุดไปริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายเหมือนเดิม ก่อนเปิดเรียดเข้ากลาง แต่คราวนี้ เจ้าหนู อันซู ฟาติ เข้าไม่ถึง บอลเลยผ่านหน้าประตูไป

    นาทีต่อมา เจ้าบุญทุ่มทิ้งโอกาสได้ประตูแซงนำไม่น่าเชื่อ เมื่อ อันซู ฟาติ เอาชนะกับดักล้ำหน้าทีมเยือน หลุดเข้าไปเปิดบอลมาทางเสาสองในกรอบเขตโทษ ให้ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ วิ่งมาตั้งหัวโหม่งคนเดียวเน้นๆ แต่สตาร์บราซิเลี่ยนกับโหม่งเข้าหน้าต่างไปเองอย่างน่าเสียดาย

    นาทีที่ 62 แฟนๆเรอัล มาดริด ได้ดีใจกันถ้วน เมื่อมีจังหวะ เกลม็องต์ ล็องเล่ต์ ไปดึงเสื้อ เซร์คิโอ รามอส ล้มในกรอบเขตโทษในจังหวะเตะมุม ผู้ตัดสิน โฆเช่ มานูเอร่า วิ่งไปเช็กวีเออาร์ ก่อนเดินกลับมาชี้เป็นลูกจุดโทษให้กับทีมเยือน ก่อน เซร์คิโอ รามอส จะรับหน้าที่สังหารไม่พลาด ทำให้ เรอัล มาดริด บุกมาขึ้นนำอีกครั้ง 2-1
   
    นาทีที่ 70 จอร์ดี้ อัลบา พาบอลบุกขึ้นมาทางฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ ก่อนเปิดยัดเข้าไปหน้าประตู ติโบต์ กูร์กตัวส์ บินปัดบอลมาตกหน้าประตู  เซร์คิโอ รามอส เคลียร์บอลไปโดน ราฟาแอล วาราน ฝ่ายนักเตะบาร์ซ่า พากันชี้ยกมือแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินโฆเช่ มานูเอร่า ฟังวีเออาร์แป๊บนึงก่อนเป่าให้เล่นต่อโดยไม่มีอะไร

    ช่วงท้ายเกมนาทีที่90 ผู้มาเยือนได้ประตูย้ำชัย เมื่อ โรดรีโก จ่ายบอลให้ ลูก้า โมดริช ใช้ความนิ่งดึงจังหวะหลอก เนโต้ ก่อนยิงเข้าไปอย่างเหนือชั้น พร้อมฉีกสกอร์นำห่าง 3-1

    ช่วงเวลาที่เหลือ บาร์ซ่า พยายามโหมเกมบุกเข้าใส่ แต่ เรอัล มาดริด ถอยลงไปรับในแดนตัวเอง ทำให้สุดท้ายเจ้าถิ่นเจาะทวงคืนไม่ได้ หมดเวลา จึงเป็นทีม ราชันชุดขาว บุกมาเก็บชัยในเกมเอล กลาซิโก้ 3-1 เก็บสามคะแนนล้ำค่า ลงเล่น 6 นัดมี 13 คะแนน ขึ้นไปอยู่จ่าฝูงของตาราง ส่วนลูกทีมของ โรนัลด์ คูมัน ปราชัยในบ้านนัดแรก ลงเตะ 5 นัด มี 7 คะแนนอยู่อันดับ10 ของตาราง

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม

    บาร์เซโลน่า (4-2-3-1) : เนโต้ – เซร์จินโญ่ เดสต์, เคราร์ด ปีเก้, เกลม็องต์ ล็องเล่ต์, จอร์ดี้ อัลบา (มาร์ติน ไบร์ธเวท น.82)  – เฟร็งกี้ เดอ ยอง, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ (ทรินเกา น.82) – อันซู ฟาติ (อองตวน กรีซมันน์ น.82), ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, เปดรี้ (อุสมาน เดมเบเล่ น.82) – ลิโอเนล เมสซี่
    
    เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – นาโช่ (ลูคัส วาซเกวซ น.43), ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, แฟร์กล็อง เมนดี้ – โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, เฟเดริโก บัลเบร์เด้ (ลูก้า โมดริช น.69) – วินิซิอุส จูเนียร์, คาริม เบนเซม่า, มาร์โก อาเซนซิโอ (โรดรีโก น.81)

เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

คาวานี่ต้องมา!ส่อง2แผนเด็ดแมนยูรับมือเชลซี

คาด 2 แผนเด็ดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะใช้รับมือ เชลซี ในเกม พรีเมียร์ลีก วันเสาร์นี้ หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มเยี่ยมบุกไปอัด เปแอสเช ในถ้วยยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมีลุ้นพา "ปีศาจแดง" เก็บชัยชนะ 3 นัดติดในทุกรายการ หลังจากสองเกมที่ผ่านมาบุกไปถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ใน พรีเมียร์ลีก และออกไปเฉือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

    แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมนัดต่อไปด้วยการเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ใน พรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ โดยที่ โซลชา จะหมดสิทธิ์ใช้งาน อองโตนี่ มาร์กซิยาล กองหน้าชาวฝรั่งเศส ที่ยังติดโทษแบน แต่ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงคนใหม่พร้อมลงสนามแล้ว

    ส่วนนักเตะรายอื่นๆ ที่ยังไม่พร้อมลงสนามคือ เอริกไบยี่ และ เจสซี่ ลินการ์ด ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งคู่ และเกมนี้สื่ออังกฤษคาดว่า โซลชา จะใช้ 2 แท็กติกนี้ลงบู๊กับ เชลซี

    1. ระบบ 3-4-1-2

    โซลชา ใช้แผนนี้ได้ผลในเกมบุกไปชนะ เปแอสเช โดยเฉพาะ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถรับมือกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ได้อยู่หมัด

    ส่วนอีก 2 รายในระบบกองหลัง 3 คนน่าจะเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โดยมี ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสา

    ส่วนแผงกลาง 4 คนให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ อเล็กซ์ เตลลิส ทำหน้าที่วิงแบ็ก ส่วนคู่กลางใช้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ ปอล ป็อกบา

    ด้านแนวรุกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส คอยทำเกมอยู่หลังคู่กองหน้า คาวานี่ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด

    2. ระบบ 4-2-3-1

    แผนนี้จะกลับมาใช้ระบบกองหลัง 4 คน โดยให้ ตวนเซเบ้ ลงมาเป็นตัวจริงแทน แม็กไกวร์ คู่กับ ลินเดอเลิฟ ขณะที่ วาน-บิสซาก้า ทำหน้าที่แบ็กขวา และ ลุค ชอว์ ประจำการแบ็กซ้าย

    ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางใช้ เนมานย่า มาติช ประสานงานกับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ขณะที่ 3 แนวรุกให้ แดเนียล เจมส์ ยืนฝั่งขวา และ แรชฟอร์ด เล่นทางด้านซ้าย

    ด้าน บรูโน่ ยืนสูงคอยทำเกม อยู่หลัง คาวานี่ ที่จะทำหน้าที่กองหน้าตัวเป้า

เกิดอะไรขึ้น-ทำไมแมนยูยังไม่ใช้งาน “ฟาน เดอ เบ็ค”

ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค มิดฟิลด์ อาแจ็กซ์ ย้ายมาร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่นักเตะเจ้าของค่าตัว 40 ล้านปอนด์ยังต้องรอคอยโอกาสในซุ้มม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่ ที่น่าแปลกใจคือเจ้าตัวยังไม่มีโอกาสได้ลงตัวจริงในลีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขณะเดียวกันเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวกุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มากขึ้นเรื่อยๆกับการเมินใช้นักเตะรายนี้
เกิดอะไรขึ้น?

    นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทัพ “ผีแดง” มิดฟิลด์วัย 23 ปีได้ออกสตาร์ทตัวจริงเพียงแค่สองเกมเท่านั้นซึ่งเป็นเกมในฟุตบอลถ้วยคาราบาว คัพ ดูเหมือน​โซลชาไม่ได้เต็มใจใช้งานเขาลงเล่นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกหรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

    เขายังลงเล่นน้อยกว่า 90 นาทีในทั้งสองรายการดังกล่าวหรือทั้งหมด 5 นัดซึ่งรวมถึงเกมที่ไม่ได้ถูกใช้งานในฐานะตัวสำรองเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย เกมดังกล่าว สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ออกสตาร์ทตัวจริงในมิดฟิลด์พร้อม บรูโน่, แดเนี่ยล เจมส์ และ ฆวน มาต้า ขณะที่ครึ่งหลัง โซลชา เปลี่ยนตัว ปอล ป็อกบา ลงสนามมา และปล่อยให้ ฟาน เดอ เบ็ค นั่งสำรองบนอัฒจันทร์ต่อไป

    ช่วงปลายเดือนกันยายน ซยาค ซวาร์ต ที่ปรึกษาของนักเตะหรือตำนานอาแจ็กซ์ ได้ออกมาสัมภาษณ์กับ โฟตบอลพริเมอร์ สื่อของฮอลแลนด์ว่า

    "ผมไม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนตัวอย่างนั้นเลย ถ้าเป็นผมน่ะผมคงไม่ทำหรอก ส่งเขาลงไปเล่นในตอนที่เหลืออีกแค่ 4 นาทีเนี่ยนะ ถ้าทำอย่างนั้นสู้ให้ผมนั่งไปจนจบเกมยังดีซะกว่า ผมต้องบอกเลยว่าวันนั้นเขาทำได้ดี 3 อย่าง ที่จริงลูกจุดโทษซึ่งเป็นประตูชัยเองมันก็มาจากเขาเช่นกัน แต่ถ้าดูตามรูปเกมปกติแล้วน่ะวันนั้นพวกเขาควรจะแพ้สัก 1-7 ด้วยซ้ำ วันนั้น ไบรท์ตันฯ ยิงชนเสาชนคานไปตั้ง 5 ครั้ง พวกเขา (แมนฯ ยูไนเต็ด) มีทีมที่ดี แต่สถานการณ์แบบนั้นมันไม่ควรจะเกิดกับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

    กุยโด อัลเบอร์ส เอเยนต์ส่วนตัวของนักเตะก็รีบโร่ออกตอบโต้ข่าวโดยบอกว่า ฟาน เดอ เบ็ค ไม่มีปัญหาอะไรและยังมีความสุขดีกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทว่าผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ฟาน เดอ เบ็ค ยังได้รับโอกาสลงสนามค่อนข้างน้อยอยู่เหมือนเดิม

    โดย แกรี่ เนวิลล์ หนึ่งในคอมเม้นเตเตอร์นัดที่เสมอกับ เชลซี ก็ได้กล่าวไว้ในรายการว่า “สิ่งที่เป็นคำถามมากเลยคือการใช้งาน ฟาน เดอ เบ็ค ตั้งแต่เขาเซ็นสัญญามาด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ เขาไม่ได้เป็นตัวหลักในแผนการเล่นของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทุกๆนัด ยิ่งเขาไม่ได้ออกสตาร์ทตัวจริง ยิ่งเขาไม่ได้ลงเล่น มันยิ่งทำให้คุณคิดว่า…นักเตะค่าตัว 40 ล้านปอนด์ ปกติต้องอยู่ในตัวหลักแล้ว เขาคงกำลังคิดว่า…ผมมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” เนวิลล์ กล่าว

เอวร่าออกมาพูดอะไรบ้าง?

    ปาทริซ เอวร่า ตำนาน “ปีศาจแดง” ที่เมื่อเดือนที่แล้วออกมาแฉเบื้องหลังการทำงานซื้อขายที่ผิดพลาดของสโมสรแบบร้อนระอุ มาคราวนี้เขาเป็นกูรูให้กับ สกาย สปอร์ต เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและเขาก็เอ่ยถึงมุมมองของเขาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค

    “พวกเรากำลังพูดถึง ฟาน เดอ เบ็ค กันอยู่ ผมไม่ได้อคติกับเจ้าหนูคนนี้นะ แต่ทำไมเราถึงซื้อเขามา? เขานั่งดูเกมจากอัฒจันทร์ทุกๆนัดเพราะว่าเราไม่ได้ต้องการเขา นั่นคือความจริง แต่ผู้คนไม่พูดมันออกมา” เอวร่า กล่าว

    ส่วน จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ตำนานยอดกองหน้าของ เชลซี ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอวร่า ก็เห็นด้วยกับอดีตแบ็กซ้ายชาวฝรั่งเศส “เมื่อคุณมองดูแล้ว ฟาน เดอ เบ็ค ถือเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก จุดแข็งของเขาคือการเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษและปิดบัญชีด้วยการยิงหรือสร้างโอกาสแบบ บรูโน่ ถ้าเขาต้อิงแย่งตำแหน่งกับ บรูโน่ มันเป็นคำถามว่าเขาจะไม่ได้ลงเล่นเลยหรือ?” ฮัสเซลเบงค์ กล่าว

มุมมองของน้าโอเล่

    สกาย สปอร์ต ยิงคำถามใส่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ว่า ฟาน เดอ เบ็ค จะต้องทำอย่างไรถึงจะได้มีส่วนร่วมกับทีม ซึ่งกุนซือ “ปีศาจแดง” ยืนกรานว่าอีกไม่นานมิดฟิลด์ฮอลแลนด์รายนี้จะได้พิสูจน์ตัวเองและยังยืนยันว่านักเตะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำทีมในระยะยาว

    “ผมไม่ห่วงเรื่องนี้เลย เขาจะมีเกมให้ลงเล่นแน่นอน ไม่ต้องห่วงหรอก มันง่ายที่จะบอกว่าใครควรได้ลงเล่นและมันยากมากที่จะบอกว่าใครไม่สมควรได้ลง” โซลชา กล่าว

    อย่างไรก็ตามสิ่งเป็นคำถามอยู่คือ นายใหญ่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้กล่าว่า ฟาน เดอ เบ็ค จะลงตรงไหนในทีมตัวจริง ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีที่พอสำหรับเขาเลย

ตำแหน่งไหนที่ ฟาน เดอ เบ็ค ควรลงเล่น?

    หากย้อนไปดูสมัย อาแจ็กซ์ ฟาน เดอ เบ็ค เหมาะสมกับการลงเล่นในแผนที่มีมิดฟิลด์ตัวกลาง 3 คน เขาถือเป็นจ้าวแห่งการหาตำแหน่งโดยเฉพาะการสอดขึ้นไปในกรอบเขตโทษ

    อย่างไรก็ตาม บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของ โซลชา ในตำแหน่งหมายเลข 10 ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามิดฟิลด์ชาวโปรตุเกสโชว์ฟอร์มน่าประทับใจมาโดยตลอดนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาในทีม

    คำถามคือเราจะจับ ฟาน เดอ เบ็ค ลงเล่นตรงไหน? แต่ข้อดีของเขาคือมีความยืดหยุ่นในตำแหน่งพอสมควร สมัยอยู่กับ อาแจกซ์ เขาเล่นได้ทุกตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหมายเลข 6, บ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ หรือแม้กระทั่งริมเส้น

    ที่แน่นอนคือ แมนฯ ยูไนเต็ด คงไม่จับเขาลงเล่นริมเส้น แต่การที่ทีมไม่ได้เซ็น เจดอน ซานโช่ เข้ามา เราอาจจะได้เห็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส ขยับไปเล่นตัวรุกด้านข้างเหมือนกับเกมที่เจอกับ เชลซี ในช่วงครึ่งหลังซึ่งนี่อาจจะเป็นโอกาสของ ฟาน เดอ เบ็ค ที่ลงเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 หรือเขาอาจจะได้ลงเล่นมิดฟิลด์คู่กับ ป็อกบา ก็เป็นได้

ต้องทำยังไงต่อ?

    แฟนผีที่อยากเห็น ฟาน เดอ เบ็ค ลงเล่นก็คงต้องอดทนรอต่อไปและดูว่า โซลชา จะปรับแผนการเล่นเพื่อให้เหมาะสมกับเขาอย่างไร

    “ผีแดง” อยู่ในช่วงที่มีโปรแกรมค่อนข้างชุกหลังจากมีฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เข้ามา กลางสัปดาห์นี้พวกเขาก็มีคิวเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของจ่าฝูงบุนเดสลีกาอย่าง ไลป์ซิก มันจะเป็นเกมที่น่าดูหาก ฟาน เดอ เบ็ค ออกสตาร์ทตัวจริงในเกมที่เจอกับทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศ ชปล.

    โซลชา น่าจะมีการเปลี่ยนแผงมิดฟิลด์หลังจากใช้ เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ มา 3 นัดติดต่อกันแล้ว เชื่อว่าอาจจะมีคนใดคนหนึ่งได้พักหรืออาจจะพักทั้งสองคนก็เป็นได้ ซึ่ง ป็อกบา น่าจะได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง แต่มิดฟิลด์ชาวดัตช์จะได้จับคุ่แผงกองกลางกับ ป็อกบา หรือไม่?

    นัดที่เจอกับ อาร์เซน่อล ในสุดสัปดาห์นี้ก็เช่นกันก่อนจะต้องบุกเยือน อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ แล้วต่อด้วย เอฟเวอร์ตัน การโรเตชั่นจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ ฟาน เดอ เบ็ค ได้ลงสนาม

    ถ้าเขายังพลาดลงเล่นในเกมดังกล่าวอีก เราก็คงต้องตั้งคำถามไปถึงตัวกุนซือและบอร์ดบริหารของ “ผีแดง”

คาวานี่ประเดิม! แมนยูเจาะไม่เข้าแค่เจ๊าเชลซีไร้สกอร์-เมนดี้โชว์หนึบ

"ปีศาจแดง" ยังต้องหาชัยชนะในบ้านเกมลีกซีซั่นนี้ต่อไป หลังทำได้แค่เสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์ 0-0 ในเกมบิ๊กแมตช์ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยเกมนี้ เอดินสัน คาวานี่ ลงมาเป็นสำรองประเดิมเกมแรกให้ แมนฯยูไนเต็ด ด้าน "สิงห์บลูส์" เกมนี้ได้ เอดูอาร์ เมนดี้ ช่วยเซฟทำให้บุกมาแบ่งแต้ม ทำสถิติเสมอ 3เกมติดทุกรายการ

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    "บิ๊กแมตช์" พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด กลับมาเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ เชลซี โดย "ปีศาจแดง" เกมล่าสุดในลีกบุกไปถลุง นิวคาสเซิ่ล 4-1 ก่อนที่กลางสัปดาห์ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะบุกไปอัด เปแอสเช 2-1 ขณะที่ฝั่ง "สิงห์บลูส์" เสมอมา 2เกมติดๆในสแตมฟอร์ด บริจด์  ทั้งในลีกที่แบ่งแต้มกับ "นักบุญ" 3-3 ก่อนจะเสมอในรังกับ เซบีย่า แบบไร้สกอร์ 0-0

    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ใช้ 11 แข้งตัวจริงชุดเดียวกับที่บุกไปถล่ม "สาลิกาดง" ฆวน มาต้า ปั้นเกมร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และแดเนียล เจมส์ โดยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยืนหน้าเป้า ส่วน เอดินสัน คาวานี่ มีชื่อบนม้านั่งสำรอง ด้าน แฟร้งค์ แลมพาร์ดวันนี้จัดสามแนวรุกเป็น  ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช และ ติโม แวร์เนอร์

    ช่วง 15 นาทีแรก ทั้งสองทีมเล่นกันอย่างระมัดระวังจนไม่มีโอกาส หรือจังหวะเน้นๆให้ได้ลุ้น แต่กลายเป็น "สิงห์บลูส์" ที่กดดันและเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้มากกว่า

    นาที 18 โอกาสยิงครั้งแรกของเกม ทว่า คริสเตียน พูลิซิช กดด้วยขวานอกกรอบไปติดบล็อคของแข้งเจ้าถิ่น

    ยังคงเป็นลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ครองบอลได้เหนือกว่า (33-67%) นาที 26 "สิงห์บลูส์" พลาดโอกาสลุ้นหลัง เบน ชิลเวลล์ ตักบอลให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ หลุดกับดักล้ำหน้าแทงทะลุช่องให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเข้าไปทว่าเจ้าตัวกลับเจ้าบอลไม่อยู่บอลหลุดหลังน่าเสียดาย

    อีกนาทีถัดมา ชิลเวลล์ เรียกฟรีคิกทางด้านซ้ายได้ ก่อนเจ้าตัวจะลุกมาเปิดเอง แต่บอลลึกไปเข้ามือ เด เคอา

    นาที 29 เอดูอาร์ เมนดี้ เกือบได้ทำพลาดหลังเจ้าตัวพยายามจ่ายบอลขวางหน้าประตูตัวเอง ทว่าออกบอลไม่ดีเกือบเลี้ยวเข้าประตูตัวเองก่อนออกหลังเป็นเตะมุม

    เกมรุกของ "ผีแดง" เริ่มดีขึ้น นาที 31 จังหวะส่องเข้ากรอบหนแรกของเจ้าถิ่น และครั้งแรกของเกม  แดเนียล เจมส์ ไหลให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตะบันนอกกรอบบอลไปเข้ามือ เมนดี้

    แต่ "สิงห์บลูส์" สวนกลับทันควัน อีกนาทีต่อมา คริสเตียน พูลิซิช ตะลุยพาบอลเข้าไปกดด้วยขวาแต่บอลไปแฉลบ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ออกหลัง

    นาที 36 แมนฯยูไนเต็ด พลาดโอกาสทองขึ้นนำ หลัง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ตัดบอลได้ก่อนให้ มาต้า แทงบอลเร็วให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลุดเข้าไปกดด้วยขวาเน้นๆแต่บอลยังไปติดขา เอดูอาร์ เมนดี้

    กลายเป็น "ผีแดง" ที่เริ่มกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ นาที 41 หวิดได้ประตูอีกครั้ง คราวนี้ แรชฟอร์ด จ่ายให้ ฆวน มาต้า กดด้วยซ้ายนอกกรอบบอลพุ่งไปเสาไกลแต่ยังไม่พ้น เอดูอาร์ เมนดี้ ที่โชว์บินปัดออกหลังหวุดหวิด

    นาที 43 แรชฟอร์ด มีอาการบาดเจ็บ หลังโดน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เตะในกรอบเขตโทษ ทว่าผู้ตัดสินหลังเช็กสัญญาณจาก VAR ไม่ว่าอะไรให้เล่นต่อไป

    จบครึ่งแรก แมนฯยูไนเต็ด ยังเสมอกับ เชลซี 0-0

    ครึ่งหลัง นาที 58 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เปลี่ยนรวดเดียวสองคน ส่ง เอดินสัน คาวานี่ และปอล ป็อกบา ลงไปเล่นแทน ฆวน มาต้า และแดเนียล เจมส์

    และแค่สัมพัสแรกของ คาวานี่ ในนาทีถัดมาเกือบพาทีมขึ้นนำ จากชอตต่อเนื่องจากลูกเตะมุม บรูโน่ แฟร์นันด์ส ครอสมาเสาแรกให้ คาวานี่ โฉบมาสะกิดบอลด้วยขวาพุ่งถากเสาออกไปแบบได้เสียว

    นาที 72 "สิงห์บลูส์" แก้เกมบ้าง ส่ง เมสัน เมาน์ท และแทมมี่ อบราฮัม ลงมาเล่นแทน ไค ฮาแวร์ทซ์ และติโม แวร์เนอร์

    ท้ายเกม นาที 80 "ผีแดง" ได้ลุ้นจากจังหวะยิงของ ปอล ป็อกบา แต่ห้องเครื่องทีมชาติฝรั่งเศสดันยิงไปติดบล็อคอย่างน่าเสียดาย

    นาที 88 เจ้าบ้าน เกือบได้ลุ้นอีก หลัง เมสัน กรีนวู้ด ที่ลงมาสำรองปาดมาเสาแรกให้ เอดินสัน คาวานี่ ยิงไปติดบล็อคแนวรับสิงห์บลูส์

    ช่วงทดเจ็บ นาที 90+1 ปีศาจแดง พลาดโอกาสขึ้นนำอีกหลัง แรชฟอร์ด ปั่นบอลจากนอกกรอบกำลังจะเสียบเสาไกลอยู่แล้วแต่ เอดูอาร์ เมนดี้ ยังโชว์เหนียวพุ่งปัดออกไป

    จบเกม กินกันไม่ลง แมนฯยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์ 0-0 ทำให้ "ผีแดง" ยังไม่ชนะคู่แข่งในบ้านซีซั่นนี้ต่อไป ขณะที่ "สิงห์บลูส์" เสมอมา 3 เกมติดทุกรายการ

      รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

        แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า , วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ (เมสัน กรีนวู้ด น.83) – ฆวน มาต้า (ปอล ป็อกบา น.58), บรูโน่ แฟร์นันด์ส, แดเนียล เจมส์ (เอดินสัน คาวานี่ น.58) – มาร์คัส แรชฟอร์ด

       ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

        เชลซี (3-4-2-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า – รีซ เจมส์, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เบน ชิลเวลล์ –  ไค ฮาแวร์ทซ์ (เมัน เมาน์ท น.72), คริสเตียน พูลิซิช (ฮาคิม ซิเย็ค น.81) – ติโม แวร์เนอร์ (แทมมี่ อบราฮัม น.72)

        ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

        ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

“เอล กลาซิโก้” เดือด!เรอัลมาดริดบุกปะบาร์เซโลน่า “เบนเซม่า-เมสซี่” วัดคม

ศึก เอล กลาซิโก้ แห่งศักดิ์ศรี…"ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด เตรียมยกพลออกเยือนถิ่น "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า นัดนี้อาจเป็นการดวลความคมปิดสกอร์ของ คาริม เบนเซม่า กับ ลิโอเนล เมสซี่ ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล ลา ลีกา สเปน วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1 (เวลา : 21.00 น.)
ปรีวิวฟุตบอลลา ลีกา สเปน
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
บาร์เซโลน่า  –   เรอัล มาดริด
ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1 (เวลา : 21.00 น.)

สนาม : คัมป์ นู

บาร์เซโลน่า :

    บาร์เซโลน่าไม่ชนะใครในเกมลีกมา 2 นัดติดต่อกันหลังเสมอเซบีย่า 1-1 และบุกไปพ่ายกรานาด้า 0-1 ก่อนจะคืนฟอร์มเก่งด้วยการเปิดบ้านไล่ถลุงเฟเรนซ์วารอส 5-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มจี นัดแรก

    ความพร้อมของอาซูลกราน่าในเกมนี้ โรนัลด์ คูมัน นายใหญ่ชาวดัตช์จะยังไม่สามารถใช้งาน มาร์ก-อันเดร แทร์ สเตเก้น นายทวารมือหนึ่งที่ยังคงพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ทำให้เนโต้จะได้รับโอกาสเฝ้าเสาต่อไป เช่นเดียวกันกับ ซามูแอล อุมติตี้ ที่ยังต้องพักรักษาตัวจากโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าต่อไป

    อย่างไรก็ตาม อดีตนายใหญ่เซาธ์แฮมป์ตันจะได้ จอร์ดี้ อัลบา ที่สลัดอาการบาดเจ็บบริเวณเอ็นร้อยหวายกลับมาฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แล้วและคงจะได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทันทีในศึก "เอล กลาซิโก้" ทำให้ เซร์จินโญ่ เดสต์ ต้องกลับไปนั่งรอโอกาสที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกครั้ง

    แผงมิดฟิลด์ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ จะได้กลับมาบัญชาแดนกลางอีกครั้งหลังมีชื่อเป็นเพียงตัวสำรองในเกมกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ในตำแหน่งริมเส้น ฟรานซิสโก้ ตรินเกา ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกับเฟเรนซ์วารอส จะได้รับโอกาสออกสตาร์ตในเกมนี้แทนที่ของ อองตวน กรีซมันน์ ที่ยังควานหาฟอร์มเก่งไม่เจอสักที

    ส่วนในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าเป็นหน้าที่ของ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงได้ 2 ประตูและแอสซิสต์อีก 3 ครั้งจากการลงสนามไปแล้ว 5 นัดให้กับบาร์ซ่ารวมทุกรายการในฤดูกาลนี้

เรอัล มาดริด :

    เรอัล มาดริดแพ้มา 2 เกมรวดหลังพ่ายให้กับกาดิซ 0-1 ในเกมลีกนัดล่าสุดก่อนที่จะแพ้ให้กับชัคตาร์ โดเนตส์ค 2-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี นัดแรก

    แน่นอนว่า ซีเนดีน ซีดาน ผู้จัดการทีมเลือดน้ำหอมจะไม่มี เอแด็น อาซาร์, ดานี่ การ์บาฆาล และ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ ส่วน มาเรียโน่ ดิอาซ และ อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า คงจะยังไม่ฟิตพอที่จะลงสนามในเกมนี้

    ทางด้าน เซร์คิโอ รามอส ที่แยกตัวไปฝึกซ้อมเดี่ยวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาหลังจากที่โดนโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าเล่นงานจนพลาดการช่วยทีมเมื่อเกมกลางสัปดาห์จะได้กลับมาคุมหลังบ้านให้กับราชันชุดขาว ขณะที่ นาโช่ เฟร์นานเดซ จะได้รับโอกาสในตำแหน่งแบ็กขวา ทำให้ แฟร์กล็อง เมนดี้ กลับไปยืนในตำแหน่งแบ็กซ้าย

    โดยที่ วินิซิอุส จูเนียร์, โทนี่ โครส และ คาริม เบนเซม่า ที่ถูกดร็อปเป็นเพียงตัวสำรองในเกมกับชัคตาร์ จะได้กลับมาเป็นตัวจริง รวมไปถึง ลูก้า โมดริช และ คาเซมีโร่ ก็จะได้ออกสตาร์ตอย่างต่อเนื่อง

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    บาร์เซโลน่า (4-2-3-1) : เนโต้ – เซร์จี้ โรเบร์โต้, เคราร์ด ปีเก้, เกลม็องต์ ล็องเล่ต์, จอร์ดี้ อัลบา – เฟร็งกี้ เดอ ยอง, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ – อันซู ฟาติ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ฟรานซิสโก้ ตรินเกา – ลิโอเนล เมสซี่
    ผู้จัดการทีม : โรนัลด์ คูมัน

    เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – นาโช่, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, แฟร์กล็อง เมนดี้ – โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช – วินิซิอุส จูเนียร์, คาริม เบนเซม่า, มาร์โก อาเซนซิโอ
    ผู้จัดการทีม : ซีเนดีน ซีดาน