ลอว์เรนสันเชียร์ลิเวอร์พูลดึงเด็กเก่าทดแทนฟานไดค์

มาร์ค ลอว์เรนสัน ชี้แนะว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ควรที่จะดึงอดีตลูกหม้อของทีมอย่าง คอเนอร์ เคาดี้ เข้ามาร่วมทีม เพื่อทดแทนการขาดหายไปของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์
   
มาร์ค ลอว์เรนสัน อดีตตำนานของ ลิเวอร์พูล เชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ของ ‘หงส์แดง’ ควรที่จะดึง คอเนอร์ เคาดี้ ปราการหลัง วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส เข้ามาร่วมทีม เพื่อทดแทน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่ได้รับบาดเจ็บต้องพักยาว

ฟาน ไดค์ ได้รับบาดเจ็บตรงบริเวณเส้นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า หรือ ACL ในเกมที่บุกไปเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 2-2 เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งอาการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เจ้าตัวต้องพักรักษาตัวนานอย่างน้อย 6 เดือน และเป็นผลให้ฤดูกาลนี้ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อย

โดยทาง ลอว์เรนสัน สนับสนุนให้ คล็อปป์ ดึงตัว คอเนอร์ เคาดี้ กัปตันทีมวูล์ฟส์ ซึ่งเคยเป็นเด็กปั้นของทีมเข้ามา "ผมคิดว่า เฟอร์กิล จะต้องพักไปทั้งฤดูกาล"

"ผมคิดว่าต้องกาชื่อออกไปได้เลยเพราะคุณต้องมีแมตช์ฟิตเนส และเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนนี้ เพราะพวกเขาเล่นให้ทีมสำรองไม่ได้" ลอว์โร่ เผยกับ Argus

"หาก ลิเวอร์พูล จะจ่ายเงินก้อนโตเพื่อใครสักคนตอนเดือนมกราคม พวกเขาก็ต้องการคนที่พร้อมใช้งานได้เลย คอเนอร์ เคาดี้ ถูกพูดถึงมาก และเขาก็เป็นผู้เล่นที่จัดการได้ดี และเป็นคนที่ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก มาแล้วหลายเกม"

สำหรับ เคาดี้ เติบโตมากับ อคาเดมี่ ของ ลิเวอร์พูล โดยลงสนามในนามทีมชุดใหญ่ของ "หงส์แดง" แค่ 2 เกม ก่อนจะอำลาทีมไปอยู่กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ตอนปี 2014 จากนั้นก็ย้ายมาอยู่กับ วูล์ฟส์ และพัฒนาตัวเองจนเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โอบาเมย็องไร้สกอร์ 5 เกมติดครั้งแรกในรอบ 6 ปี

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ไร้ชื่อบนสกอร์บอร์ด 5 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากที่ อาร์เซน่อล เปิดบ้านพ่ายต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
  
ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กองหน้ากัปตันทีม อาร์เซน่อล ต้องเจอสถิติเลวร้ายที่ไม่น่าจดจำ เมื่อเจ้าตัวไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตูติดต่อกัน 5 นัดเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

โอบาเมย็อง คือผู้เล่นคนสำคัญของ ‘เดอะ กันเนอร์ส’ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และเป็นคีย์แมนที่พา อาร์เซน่อล คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ โดยตลอดฤดูกาล 2019/20 กองหน้าทีมชาติกาบอง ซัดไป 29 ประตู จากทุกรายการ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะหลังจากที่ โอบาเมย็อง ทำประตูได้ในเกมเปิดฤดูกาลที่เอาชนะ ฟูแล่ม 3-0 และจรดปากกาต่อสัญญากับ ‘ไอ้ปืนใหญ่" ออกไป นับตั้งแต่นั้นเจ้าตัวกลับทำประตูไม่ได้อีกเลย ซึ่งนับเป็นจำนวน 5 นัดติดต่อกันเข้าให้แล้ว โดยสถิติไร้สกอร์ 5 เกมติดครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นเมื่อปี 2014 สมัยที่เขายังค้าแข้งกับ โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์

 

เจ็บปวด!แมนยูทำสถิติเล่นในบ้านแย่สุดรอบ 48 ปี

ผลเสมอกับเชลซี 0-0 ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดล่าสุด ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอสถิติเลวร้ายสุดๆ ในรอบ 48 ปี
    ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบ่งแต้มกับ เชลซี 0-0 ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนเสาร์ที่ผ่านมา โดยทำให้พวกเขาหาชัยชนะไม่เจอในการเล่นที่บ้านตัวเอง 3 นัดติดต่อกัน หลังก่อนหน้านี้ แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3 และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 1-6 แต่กลับชนะรวดในเกมเยือน 5 นัดทุกรายการในซีซั่นนี้

    และจากสถิติไร้ชัยในบ้าน 3 นัดดังกล่าวนับตั้งแต่เปิดซีซั่น 2020/21 ทำให้ แมนยู ไม่ชนะใครในลีกที่เล่นในบ้านตัวเอง 3 นัดแรกของฤดูกาลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1972/73 หรือคิดเป็นเวลา 48 ปี

    สำหรับผลเสมอเกมนี้ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บเพิ่มเป็น 7 คะแนน จากการลงแข่ง 5 นัด รั้งอันดับ 15 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก

อยู่ต่อหรือย้าย?สื่อเผยอนาคตตราโอเร่กับวูล์ฟส์

อดาม่า ตราโอเร่ ปีกร่างบึ้กของ วูล์ฟส์ ใกล้ที่จะต่อสัญญากับทีมไปจนถึงปี 2024 โดยเขาจะได้ค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ด้วย จากการเปิดเผยของ เดอะ ซัน สื่อของอังกฤษ

อดาม่า ตราโอเร่ ปีกคนเก่งของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส สโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใกล้ที่จะตกลงต่อสัญญากับต้นสังกัดแล้ว ตามรายงานของ เดอะ ซัน สื่อของเมืองผู้ดี

ตราโอเร่ ทำผลงานได้โดดเด่นกับ วูล์ฟส์ มาพักหนึ่งแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เขาตกเป็นข่าวกับหลายทีมยักษ์ใหญ่ทั่วทวีปยุโรปในตลาดการเสริมทัพรอบล่าสุดตามไปด้วย อย่างเช่น ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลน่า เป็นต้น แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ย้ายไปไหน

ทั้งนี้ เดอะ ซัน บอกว่าสัญญาฉบับใหม่ของ ตราโอเร่ จะมีระยะเวลา 4 ปี ทำให้จากเดิมที่เหลือสัญญากับทีมจนถึงปี 2023 ก็จะยืดไปเป็นจนถึงปี 2024 และเขาก็จะได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้น 2 เท่าจนทำให้ได้เงินถึงสัปดาห์ละ 100,000 ปอนด์ (ประมาณ 4 ล้านบาท)

 

ซาลาห์ขึ้นแท่นกระทุ้งครบ 100 เร็วสุดลำดับ 3

แม้ทีมจะไม่ชนะ แต่ประตูจากปลายเท้าของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่งให้เขาซัดครบ 100 ประตูในนามสโมสร ลิเวอร์พูล เป็นคนที่ 17 อีกทั้งยังเป็นอันดับ 3 ในเรื่องการยิงแตะเลขสามหลักเร็วที่สุดของสโมสร

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำหนึ่งประตูในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 โดยทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 17 ของสโมสร ที่ยิงประตูในสีเสื้อ ‘หงส์แดง’ ครบ 100 ประตู

นอกจากนี้ ดาวยิงชาวอียิปต์ยังเป็นผู้เล่นลำดับที่ 3 ที่ทำประตูครบ 100 ลูกเร็วที่สุดโดยใช้จำนวน 159 นัด ต่อจาก โรเจอร์ ฮันท์ (144 นัด) และ แจ็ค พาร์กินสัน (153 นัด)

สำหรับจำนวนประตูของ ซาลาห์ แบ่งเป็นยิงในศึก พรีเมียร์ลีก 79 ลูก บนเวทียุโรป 20 ลูก และเกมเอฟเอ คัพ อีก 1 ลูก

แม็กไกวร์ตอบโต้เสียงวิจารณ์แมนยูตลกสิ้นดี

แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไม่สนคำวิจารณ์ที่มีต่อทีม โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่น่าตลกที่มาหาว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกเอาชนะ นิวคาสเซิล 4-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยฟอร์มการเล่นแสดงออกมาให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอีกครั้ง แก้ตัวจากเกมก่อนที่แพ้ต่อ ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ 1-6 คาสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด

‘ปีศาจแดง’ ได้ประตูจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, อารอน วาน-บิสซาก้า และ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดยกัปตันทีมอย่าง แม็กไกวร์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่าไม่ได้สนคำจารณ์เชิงลบที่มีต่อตนและเพื่อนร่วมทีม

"มันน่าตลกสิ้นดี 3 สามเกมผ่านไปของฤดูกาล และดูเหมือนว่าเป็นเรื่องวิกฤติครั้งใหญ่ การชนะ 2 แพ้ 2 เส้นทางยังมีอีกยาวไกล ซึ่งเราต้องพิสูจน์ให้เห็น" แม็กไกวร์ กล่าวกับ สกาย สปอร์ต

"เมื่อคุณเล่นให้กับสโมสรนี้ และแพ้ในบ้านตัวเอง เราก็ถูกตั้งคำถามขึ้น เราทำงานหนักในตอนซ้อม นี่คือกลุ่มที่ยอดเยี่ยม และเราก็รู้ดีว่าเราต้องกลับมาให้ได้ ผมรู้สึกว่ามันคงเป็นเรื่องเลวร้ายหากเรากลับออกไปแค่คะแนนเดียว"

"มันเป็นเรื่องสำคัญ ทุกๆ เกมใน พรีเมียร์ลีก เราต้องเล่นให้ได้ในระดับสูง บางเกมเราไม่สามารถทำได้ดีที่สุด แต่เราก็ต้องทำเรื่องพื้นฐานให้ได้ดี และในเกมที่เราแพ้ เราทำมันไม่ได้ดีเท่าที่ควร"
   
"พวกเราเป็นทีมที่อายุน้อย แต่เราจะไม่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ออกสตาร์ทแบบนี้ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นยอดเยี่ยมในคืนนี้ก็เกิดขึ้นในยามที่เราต้องการมัน"

ระบาดไม่หยุด!พรีเมียร์ลีกยันพบ8รายติดโควิด

ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ยังคงต้องเจอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะอย่างต่อเนื่อง โดยผลการตรวจล่าสุดมีการระบุชัดเจนว่าพบผู้ติดเชื้อถึง 8 ราย แต่ไม่มีการยืนยันว่าเป็นนักเตะหรือบุคลากรในวงการลูกหนัง โดยทั้งหมดต้องเข้ารับการกักตัวตามกำหนดเวลาที่ระบุเอาไว้
   
พรีเมียร์ลีก ประกาศยืนยัน เมื่อวันจันทร์ที่ 19  ตุลาคม ที่ผ่านมาว่า พบบุคลากรในลีกติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือชื่ออย่างเป็นทางการ  "โควิด-19" เพิ่มอีก 8 ราย หลังจากที่มีการตรวจคัดกรองบรรดานักเตะและสต๊าฟฟ์รอบล่าสุดจำนวน 1,575 คน

สำหรับการตรวจหาเชื้อรอบล่าสุดนี้ มีขึ้นระหว่างวันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม ถึง วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม ซึ่งปรากฏว่า พบ 8 คนที่มีผลออกมาเป็นบวก และบุคคลกลุ่มนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวเป็นเวลา 10 วัน แต่ไม่มีการลงลึกในรายละเอียดว่าเป็นใครและมาจากสโมสรใดบ้าง

ทั้งนี้ การตรวจหาเชื้อไวรัส "โควิด-19" ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ผ่านพ้นมาแล้ว 7 รอบ ซึ่งมีผลออกมาดังต่อไปนี้
 – รอบที่ 1 (31 ส.ค.-6 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 3 ราย จากการตรวจ 1,605 คน
 – รอบที่ 2 (7-13 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 4 ราย จากการตรวจ 2,131 คน
 – รอบที่ 3 (14-20 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 3 ราย จากการตรวจ 1,574 คน
 – รอบที่ 4 (21-27 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 10 ราย จากการตรวจ 1,595 คน
 – รอบที่ 5 (28 ก.ย.-4 ต.ค.) : พบผู้ติดเชื้อ 9 ราย จากการตรวจ 1,587 คน
 – รอบที่ 6 (5-11 ต.ค.) : พบผู้ติดเชื้อ 5 ราย จากการตรวจ 1,128 คน
– รอบที่ 7 (12-18 ต.ค.) : พบผู้ติดเชื้อ 8 ราย จากการตรวจ 1,575 คน

ลืมหรือเปล่า?มูรินโญ่เหน็บเวนเกอร์เมินกล่าวถึงในหนังสือ

หลังจากที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่เอ่ยถึง โชเซ่ มูรินโญ่ ในหนังสือของตัวเองนั้น ล่าสุด มูรินโญ่ ก็เผยว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะ เวนเกอร์ ไม่เคยชนะตนเลย พร้อมบอกว่าคนเราก็คงไม่อยากพูดถึงเรื่องแบบนั้นในหนังสืออยู่แล้ว

โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เหน็บ อาร์แซน เวนเกอร์ ว่าที่ไม่เอ่ยถึงตนในหนังสืออัตชีวประวัติเป็นเพราะ เวนเกอร์ ไม่เคยเอาชนะตนได้เลย

เวนเกอร์ เพิ่งออกหนังสือของเขาที่ชื่อ "มาย ไลฟ์ อิน เร้ด แอนด์ ไวท์" (My Life in Red & White) ซึ่งมันบอกเล่าเรื่องราวหลายต่อหลายเรื่องในการคุมทีมของเขา แต่เจ้าตัวไม่ได้กล่าวถึง มูรินโญ่ แม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ทั้งคู่เคยดวลกันหลายครั้ง รวมถึงเคยเปิดสงครามทางคำพูดใส่กันหลายหน อย่างเช่นการที่กุนซือชาวโปรตุกีสเคยบอกว่า เวนเกอร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความล้มเหลว เป็นต้น

"คุณคงไม่คิดจะทำบทที่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณเจอกับบางคนประมาณ 12 หรือ 14 เกม แต่ไม่เคยชนะได้เลยอยู่แล้วนี่ ดังนั้นทำไมเขาถึงควรจะพูดถึงผมในหนังสือของเขาด้วยล่ะ ? หนังสือน่ะมันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข, ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจได้ดีว่าทำไมเขาถึงเลือกทำอย่างนั้น" มูรินโญ่ ระบุ

ทั้งนี้ ที่จริงแล้ว มูรินโญ่ เคยแพ้ เวนเกอร์ 2 ครั้ง จากการเจอกันทั้งหมด 19 นัด ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นชนะ 10 เกมกับเสมอ 7 หน

3 กุนซือได้ดวล มูรินโญ่ เยอะแต่ไม่เคยชนะ

"คุณคงไม่คิดจะทำบทใดบทหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณเจอกับคู่แข่งบางคนประมาณ 12 หรือ 14 เกม แต่ไม่เคยชนะได้อยู่แล้ว เพราะงั้นทำไมเขาถึงควรจะพูดถึงผมในหนังสือของเขาด้วยล่ะ ? หนังสือน่ะมันควรจะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข, ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจ ดังนั้นก็ทำให้ผมเข้าใจได้ดีว่าทำไมเขาถึงเลือกทำอย่างนั้น"

นั่นคือคำพูดของ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หลังจากที่โดนถามว่าเขาคิดยังไงกับการที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่พูดถึงชื่อของเขาเลยแม้แต่นิดเดียวในหนังสืออัตชีวประวัติของ เวนเกอร์ โดยคำพูดของ มูรินโญ่ มันเหมือนกับเป็นการเหน็บ เวนเกอร์ ไปในตัวว่าไม่เคยเอาชนะเขาได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้ว เวนเกอร์ เคยเอาชนะ มูรินโญ่ ได้ 2 หน จากการเจอกันทั้งหมด 19 นัด จนทำให้หลายคนมองว่ากุนซือชาวโปรตุกีสพูดผิดที่ให้ข้อมูลไปแบบนั้น ในทางกลับกัน มันก็มีกุนซือหลายคนจริงๆ ที่ไม่เคยคว่ำ มูรินโญ่ ได้แม้แต่นิดเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมานำเสนอ 3 คนที่มีโอกาสดวลกึ๋นกับ มูรินโญ่ มากที่สุดหากนับเป็นจำนวนนัด แต่ไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย ลองไปดูดีกว่าว่ามีใครบ้าง

– แซม อัลลาร์ไดซ์
มูรินโญ่ ได้ดวลกึ๋นกับ อัลลาร์ไดซ์ ครั้งแรกในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 โดยตอนนั้นต่างฝ่ายต่างก็คุม เชลซี กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ตามลำดับ ซึ่งผลจบลงที่การเสมอกัน 2-2 โดยที่ เชลซี นำไปก่อน 2 ลูก แต่โดน โบลตัน ไล่ตามตีเสมอได้

หลังจากนั้นเป็นต้นมา มูรินโญ่ ก็ทำผลงานได้เหนือกว่า อัลลาร์ไดซ์ มาโดยตลอด จนทำให้จากการเจอกันทั้งหมด 12 ครั้งนั้น มูรินโญ่ เป็นฝ่ายชนะไปถึง 9 เกม และที่เหลือเป็นการเสมอกัน 3 นัด โดยครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ดวลกันคือตอนที่ มูรินโญ่ นำ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 เมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 2018

อดีตเด็กลิเวอร์พูลเผยตั้งใจอัดเพื่อนเพราะอยากเล่นชุดใหญ่

ทอม บรูวิตต์ อดีตแข้งในทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล เปิดอก เคยตั้งใจอัด แดเนี่ยล เคลียรี่ เพราะอยากลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ "หงส์แดง" พร้อมเผย แม้ว่าจะรู้สึกแย่ที่ทำให้เพื่อนเจ็บ แต่ก็ไม่เคยละอายกับการกระทำของตัวเองเลย

ทอม บรูวิตต์ อดีตกองหลังในทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยอมรับว่าตนเคยตั้งใจทำให้ แดเนี่ยล เคลียรี่ เพื่อนร่วมทีมเยาวชน "หงส์แดง" ได้รับบาดเจ็บในการซ้อม เพื่อที่ตนจะได้มีโอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่มากกว่าเดิมในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 ฤดูกาล 2015-16 ที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ เอ็กเซเตอร์ ซิตี้ เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2016

ก่อนถึงนัดดังกล่าว เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ส่อแววว่าจะต้องเรียกใช้งานนักเตะจากอะคาเดมี่ในระดับหนึ่ง หลังจากแข้งในทีมชุดใหญ่หลายคนได้รับบาดเจ็บ ซึ่ง บรูวิตต์ อยู่ในข่ายที่อาจจะถูกดึงไปช่วยทีม แต่กองหลังชาวอังกฤษก็มี เคลียรี่ เป็นคู่แข่งโดยตรงในเรื่องนั้น

แข้งวัย 23 ปี ที่ปัจจุบันกลายเป็นนักเตะไร้สังกัด เผยในรายการพ็อดแคสต์รายการหนึ่งว่า "ไม่ว่าต้องทำอะไรก็ตามเพื่อที่จะได้ลงเล่น ผมก็ยินดีที่จะทำมัน ต่อให้มันจะเป็นการทำร้ายร่างกายบางคน หรือทำลายความสัมพันธ์ของผมกับเขา ผมก็ยินดีที่จะทำ ผมก็แค่อยากเล่นให้ ลิเวอร์พูล มากๆ ผมต้องการแค่นั้น ผมตัดสินใจขั้นเด็ดขาด มันมีแค่ผมหรือไม่ก็เขาที่น่าจะได้ลงเล่น ดังนั้นผมเลยจ้องเล่นงานเขาในการซ้อม"

"ในการซ้อมทั้งช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส และในช่วงระหว่างคริสต์มาสกับปีใหม่น่ะผมตั้งใจไปยืนข้างๆ เขาทั้งในตอนซ้อมการครองบอลรวมถึงตอนที่แบ่งทีมแข่งกัน และผมก็เตะเขา ผมไม่ได้ถึงขั้นพยายามที่จะทำให้เขาเจ็บหนักอะไรหรอกนะ ผมก็แค่พยายามทำให้เขาเจ็บมากพอที่จะทำให้เขาต้องหมดสิทธิ์ลงเล่น แล้วผมจะได้มีโอกาสลงสนามก็เท่านั้น"

"มันเกิดขึ้นในช่วงก่อนเกมกับ เอ็กเซเตอร์ 1 สัปดาห์ ตอนนั้นเราซ้อมแบบแบ่งทีมฝั่งละ 7 คน ผมจับบอลแรงไปนิดหน่อย (จนทำให้บอลลั่น) แล้วเขาก็พุ่งเข้ามาเพื่อจะสกัดใส่ผม ผมกะจังหวะรอนานไปนิดๆ แล้วก็พุ่งเข้าใส่เขา มันเป็นการเข้าสกัดที่แย่ ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างนั้น ผมตั้งใจเข้าสกัดแบบนั้น"

"แน่นอนว่าผมไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจกับมันเลย แต่ผมก็ไม่รู้สึกละอายใจที่ทำแบบนั้นเหมือนกัน เพราะในหัวของผมมันคิดถึงแค่เรื่องที่ว่ามีแค่ผมหรือเขาเท่านั้นที่จะได้ลงเล่น และสุดท้ายผมก็เลือกตัวเอง หลังจากนั้นมันก็มีการทะเลาะกันนิดหน่อย และผมคิดว่าเขาโดนไล่ออกจากสนามซ้อมเพราะปฏิกิริยาของเขา ซึ่งมันถือเป็นการตัดสินใจ (ของสตาฟฟ์) ที่เหมาะสมแล้วเพราะปฏิกิริยาของเขาอาจจะรุนแรงไปหน่อย ส่วนผมก็ได้ซ้อมจนจบ"

"หลังจากนั้นเขาก็ต้องใช้ไม้ค้ำช่วยเดินประมาณ 2 สัปดาห์ มันเลยไม่ได้ให้ความรู้สึกประมาณว่า -ภารกิจสำเร็จ- สักเท่าไหร่ เพราะผมคิดว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่รุนแรงกว่าที่คิดนิดๆ เนื่องจากเดิมทีผมไม่ได้อยากทำให้เขาบาดเจ็บเลย ผมแต่อยากให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นก็เท่านั้น"

หลังจากได้ฟังการเปิดใจของอดีตเพื่อนน่วมทีมนั้น เคลียรี่ ซึ่งปัจจุบันเล่นให้ ดันดอล์ค ทีมในประเทศไอร์แลนด์ก็โพสต์ตอบโต้ไปว่า "การดับไฟบนเทียนของคนอื่นมันไม่ได้ทำให้ไฟบนเทียนของแกมันสว่างขึ้นทันที โชคดีโคตรๆ ที่วันนั้นฉันเอาตัวรอดจากการสกัดครั้งนั้นได้โดยที่ขาไม่หักเป็น 2 ท่อน" โดยในเวลาต่อมาทางเจ้าของรายการพ็อดแคสต์ได้ลบคำเปิดใจของ บรูวิตต์ ทิ้งไปจน เคลียรี่ ก็ออกมาโพสต์ตอกกลับทันที

ทั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้ว บรูวิตต์ ก็ไม่ได้ลงเล่นในเกมกับ เอ็กเซเตอร์ อยู่ดี เพราะเขามีอาการกระทบกระเทือนทางสมองในช่วง 4 วันก่อนถึงเกมการแข่งขัน หลังจากไปโขกโดนด้านหลังของเพื่อนร่วมทีมในจังหวะที่พยายามจะขึ้นโหม่งบอล